กฎหมายภาษีอากรกับการคุ้มครองข้อมูลของผู้เสียภาษีอากร | กฤษรัตน์ ศรีสว่าง
ปัจจุบัน ทุกคนมีความเข้าใจและรับรู้เป็นอย่างดีว่าประชาชนแต่ละคน รวมถึงบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล และบุคคลอื่นๆ ที่กฎหมายกำหนดต่างมีหน้าที่ต้องเสียภาษีอากรให้กับรัฐ หรือหน่วยงานของรัฐที่ทำหน้าที่จัดเก็บภาษีอากร
หน้าที่เสียภาษีอากรจึงเป็นหน้าที่ที่มีความสำคัญต่อบ้านเมือง เนื่องจากรัฐ หน่วยงานของรัฐ รวมถึงรัฐบาล มีความจำเป็นต้องนำรายได้จากการจัดเก็บภาษีอากรไปใช้ในการจัดทำบริการสาธารณะที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนผู้เสียภาษีอันเป็นการบริหารจัดการประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้าในทุกด้าน
ผู้เสียภาษีอากรทุกคนจึงต้องดำเนินการยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีอากรชนิดต่างๆ ที่มีการจัดเก็บในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือภาษีธุรกิจเฉพาะ เป็นต้น ต่อหน่วยงานของรัฐที่ทำหน้าที่จัดเก็บภาษีอากรตามช่วงระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ซึ่งอาจเสียภาษีอากรเป็นรายปี รายเดือนหรือรายครั้งเมื่อได้รับรายได้แล้วแต่กรณี
ผลของการยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีอากร ทำให้ผู้เสียภาษีอากรมีความจำเป็นต้องกรอกรายละเอียดข้อมูลส่วนตนไม่ว่าจะเป็นชื่อสกุล อายุ ที่อยู่ บัตรประจำตัวประชาชน เป็นต้น รวมถึงข้อมูลของบุคคลที่สาม เช่น ชื่อสกุลนายจ้าง ชื่อสกุลคู่สมรส ที่อยู่ที่ทำงาน หมายเลขโทรศัพท์ เป็นต้น
(ภาพถ่ายโดย olia danilevich)
อีกทั้งยังต้องมีการระบุรายการรายได้หรือเงินได้ รายจ่าย การลดหย่อนและสิทธิประโยชน์ต่างๆ พร้อมทั้งจำนวนเงินของแต่ละรายการดังกล่าว เพื่อประโยชน์ในการคิดคำนวณภาษีอากรอีกด้วย
ข้อมูลในแบบแสดงรายการเสียภาษีอากร เป็นข้อมูลส่วนบุคคลของผู้เสียภาษีอากร ซึ่งในทางหลักการแล้วข้อมูลเหล่านี้จะต้องได้รับความคุ้มครองให้มีความปลอดภัยและผู้ที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลจะต้องดำเนินการใดๆ โดยคำนึงความปลอดภัยของข้อมูลเหล่านี้ด้วยเช่นกัน
ในปัจจุบันมีการบังคับใช้ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 เป็นการเฉพาะแล้ว อันส่งผลทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลต่างๆ ได้รับความคุ้มครองมากยิ่งขึ้นโดยบทบัญญัติกฎหมาย อย่างไรก็ตาม หากย้อนกลับไปพิจารณาบทบัญญัติกฎหมายภาษีอากรแล้ว กฎหมายภาษีอากรมีการบัญญัติถึงกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลของผู้เสียภาษีอากรบ้างหรือไม่ เนื่องจากกฎหมายภาษีอากรจำนวนหลายฉบับมีการบังคับใช้มาเป็นเวลานานก่อนการบังคับใช้กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ที่มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาในปี 2562
ประมวลรัษฎากร เป็นกฎหมายฉบับหนึ่งที่กล่าวถึงกฎเกณฑ์การคุ้มครองข้อมูลของผู้เสียภาษีอากรที่มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะและอากรแสตมป์ เช่น มาตรา 10 กำหนดหลักการไว้ว่า เจ้าพนักงานผู้ใดโดยหน้าที่ราชการได้รู้เรื่องกิจการของผู้เสียภาษีอากร หรือของผู้อื่นที่เกี่ยวข้อง
ห้ามมิให้แจ้งหรือเผยแพร่ข้อมูลแก่ผู้ใด เว้นแต่จะมีอำนาจที่จะทำได้โดยชอบด้วยกฎหมาย และมาตรา 11 กำหนดหลักการไว้ว่าอธิบดีกรมสรรพากรมีอำนาจเปิดเผยข้อมูลของผู้เสียภาษีอากรเพื่อประโยชน์ในการจัดเก็บภาษีอากรได้ตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
(ภาพถ่ายโดย Joshua Santos)
หรือประมวลรัษฎากรของสหรัฐ มาตรา 6103 กำหนดหลักการไว้ว่า ข้อมูลในแบบแสดงรายการเสียภาษีอากรของผู้เสียภาษีอากรจะได้รับการคุ้มครองจากการเปิดเผยข้อมูลให้กับบุคคลอื่นๆ แต่หน่วยงานจัดเก็บภาษีหรือพนักงานเจ้าหน้าที่อาจเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวได้ตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
โดยมีการกำหนดหลักเกณฑ์ข้อยกเว้นที่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้หลายกรณี เช่น การเป็นพยานหลักฐานในศาลตามคำสั่งของศาล หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับหน่วยงานอื่นของรัฐเพื่อประโยชน์การจัดเก็บภาษี เป็นต้น
เมื่อข้อมูลการเสียภาษีอากรของผู้เสียภาษีอากรได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายแล้ว หากเกิดการละเมิดต่อหลักการดังกล่าวโดยมีการเปิดเผยข้อมูลของผู้เสียภาษีโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้เสียภาษี หรือการเปิดเผยข้อมูลของผู้เสียภาษีไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายอนุญาตให้มีการเปิดเผยข้อมูลแล้ว ผู้เสียภาษีอากรที่เป็นเจ้าของข้อมูลสามารถดำเนินการฟ้องร้องเอาผิดผู้ที่กระทำการฝ่าฝืนได้
เช่น มาตรา 13 ของประมวลรัษฎากร วางหลักการไว้ว่า เจ้าพนักงานผู้ใดฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 10 มีความผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เป็นต้น
ดังนั้น จะเห็นได้ว่ากฎหมายภาษีอากรของไทยรวมถึงสหรัฐได้กำหนดหลักการคุ้มครองข้อมูลของผู้เสียภาษีอากรไว้ตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน ซึ่งย่อมแสดงให้เห็นว่าข้อเท็จจริงหรือประเด็นเกี่ยวกับข้อมูลของผู้เสียภาษีอากรมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับการรับรองและคุ้มครองภายใต้บทบัญญัติกฎหมาย กรณีที่จำเป็นต้องเปิดเผยข้อมูลของผู้เสียภาษีอากรได้นั้นจะต้องเป็นกรณีที่เป็นข้อยกเว้นและเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น
นอกจากนี้ หากพิจารณาในยุคปัจจุบันที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศแล้ว ผู้เสียภาษีอากรย่อมมีความกังวลว่าข้อมูลเกี่ยวกับการเสียภาษีอากรของตนเองอาจถูกเปิดเผยต่อสาธารณชนได้ และทำให้เกิดความเสียหายอย่างใดอย่างหนึ่งแก่ผู้เสียภาษีอากร ซึ่งย่อมส่งผลทำให้ผู้เสียภาษีอากรมีความคาดหวังต่อหน่วยงานจัดเก็บภาษีว่าต้องดำเนินการตามหลักการคุ้มครองข้อมูลของผู้เสียภาษีอากรอย่างเคร่งครัดและเข้มงวด
ดังนั้น หน่วยงานจัดเก็บภาษีจะต้องนำหลักการคุ้มครองข้อมูลของผู้เสียภาษีอากร เป็นนโยบายและพันธกิจของหน่วยงานด้วย
คอลัมน์ กฎหมาย 4.0
กฤษรัตน์ ศรีสว่าง
คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์