เศรษฐกิจโลกกำลังจะถดถอยใช่ไหม ?
มีสัญญาณบ่งชี้หลายอย่าง เช่น สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นตัวเร่งที่มีอิทธิพลมากที่สุดในขณะนี้
แล้วยังมีเรื่องอังกฤษจะแยกตัวออกจากอียูตามประสาชาวเกาะที่ไม่มีความผูกพันกับคนในทวีปยุโรป ในขณะที่ชาติอื่นๆ บนแผ่นดินเขาเดี๋ยวก็รวมกัน เดี๋ยวก็ตีกัน เดี๋ยวก็แยกกัน เดี๋ยวก็ส่งออกซึ่งการสมรสในราชวงศ์กันมาหลายครั้งในประวัติศาสตร์จนผู้คนไม่รู้สึกถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรมและเชื้อชาติกันมาก
ก็คล้ายๆ ญี่ปุ่นที่แปลกแยกและเหนียวแน่นในความเป็นชาตินั่นแหละ
อีกอย่างที่กังวลกันมากก็คือสัญญาณ inverted yield curve ที่สะท้อนว่านักลงทุนหรือผู้ออมยินดีรับดอกเบี้ยระยะยาวในอัตราที่ต่ำกว่าการฝากหรือการออมสั้นๆ ซึ่งมันผิดปกคิ แสดงว่าคนมองเศรษฐกิจในอนาคตแย่
Inverted yield curve ที่ว่านี้ใช้พยากรณ์เศรษฐกิจถดถอยได้แม่นยำมาก เพราะในรอบ 60 ปีที่ผ่านมานี้ไม่มีครั้งใดที่เมื่อ Inverted yield curve เกิดแล้วจะไม่ตามมาด้วยการถดถอยทางเศรษฐกิจ ซึ่งครั้งล่าสุดคือวิกฤติซับไพรม์เมื่อราว 10 ปีก่อน
เมื่อ Inverted yield curve เกิดขึ้นอีกในช่วงนี้ คนก็เลยกังวลว่าอาจตามมาด้วยภาวะเศรษฐกิจถดถอยจะเกิดขึ้นใน 12 ถึง 18 เดือนข้างหน้า
แต่จะเป็นจริงอีกหรือไม่ ต้องติดตามดูตัวบ่งชี้อื่นๆ ด้วย
ถ้าในอนาคต โลกถดถอยจริง ไทยจะไปไหวไหม ?
กูรูหลายคนยืนยันว่าเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่งจนน่าจะรองรับวิกฤตจากภายนอกได้ เพราะมีทุนสำรองระหว่างประเทศเยอะและยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยรวมๆ เราแข็งแรงกว่าช่วงปี 2540 มาก และหวังว่ามาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลทยอยออกมาเพื่อช่วยเหลือเศรษฐกิจรากหญ้ากับกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย น่าจะช่วยผ่อนหนักเป็นเบาได้ เราจะรองรับไหว และรองรับได้ดีกว่าในอดีตช่วงต้มยำกุ้ง
แต่นั่นคือภาพรวมๆ หรือมหภาค
ถ้ามองไปที่จุลภาคเป็นรายย่อยทั้งธุรกิจและคนแล้ว เราพบว่ายังไม่ต้องรอให้เจอภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจในอนาคต วันนี้หลายคน หลายธุรกิจเล็กๆ เริ่มล้มหายตายจากกันไปเรื่อยๆ จากกำลังซื้อไม่มี และจากเทคโนโลยีที่เปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค กับพลัง SME ที่ด้อยกว่ารายยักษ์อย่างเทียบกันไม่ได้
ทำไมแบงค์ชาติและคลังถึงไม่ช่วยภาคการเงิน ภาคธุรกิจในช่วงวิกฤติปี 2540 หรือต้มยำกุ้ง ทำไมปล่อยให้ล้มละลายไปมากมาย ?
ช่วงต้มยำกุ้ง ฝรั่งกดดันไม่ให้เราโอบอุ้มกิจการและสถาบันการเงินที่ประสบภัย ด้วยเหตุผลว่าจะผิดวินัยการเงินการคลัง ต้องปล่อยให้ธุรกิจหลายแห่งล้มละลายตายจากไป โดยบอกว่านี่คือเรื่อง normal
พอถึงช่วงวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ในบ้านตัวเอง ฝรั่งกลับบอกว่าไม่ได้แล้ว ต้องข่วยอุ้ม กดอัตราดอกเบี้ยจนเป็น 0% อัดฉีดเงินกงเต้กเข้าระบบไปช่วยในรูปของ QE แล้วบอกว่านี่คือ new normal
มาวันนี้ นักเศรษฐศาสตร์ต่างพากันกังวลว่าธนาคารกลางหลายประเทศจะทำอะไรไม่ได้มากนัก ในการรับมือกับภาวะเศรษฐกิจซบเซา เพราะอัตราดอกเบี้ยของโลกอยู่ในระดับต่ำอยู่แล้ว แถมยังติดลบในบางประเทศ จะลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจก็ช่วยไม่ได้มาก และบางประเทศก็ไม่มีจะให้ลด
ดูๆ ไปแล้วข้าพเจ้าคิดว่าไม่ควรกังวลมาก เพราะถ้าเกิดวิกฤติใหม่ขึ้นอีก ในที่สุด บรรดานักการเงิน นักเศรษฐศาสตร์ ที่จบตำราเดียวกัน ทำงานอยู่ใน White House กับ FED เขาคงออกเครื่องมือประหลาดๆ ที่ abnormal ออกมาอีกจนได้
จาก normal เป็น new normal จนกลายเป็น abnormal ... วิปริต วิตถาร สมกับเป็น animal farm จริงๆ