เสาร์มังกร มฤตยูเมษ (2)
เวลาเดินหน้าเป็นเส้นตรง นี่คือความคิดของคนทั่วไป แต่ในมุมโหราศาสตร์ เวลาเดินเป็นวงรอบหรือวัฏจักร วงรอบหรือกรอบเวลาสำคัญที่สุดคือจักรราศี
ราว 12,000 ปีก่อน มนุษย์ค้นพบฤดูกาลและสร้างปฏิทินสุริยคติ จักรราศีค่อยๆ พัฒนาจนสมบูรณ์ช่วงปลายยุคหินใหม่ 4,000-3,000 ปีก่อนค.ศ. จักรราศีเป็นวงกลม โหราจารย์จึงต้องสร้างจุดอ้างอิง จุด 0 องศาเมษคือจุดวสันตวิษุวัต (Spring Equinox) ที่สิ้นสุดฤดูหนาวเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ สรรพชีวิตเกิดใหม่อีกครั้ง ด้วยนัยที่ลึกซึ้งนี้เอง ท่านจึงถือเป็นจุดเริ่มต้นจักรราศี
เมษเป็นราศีสำคัญ เกณฑ์ราศีอย่างกรกฎ-ตุลย์-มังกรย่อมสำคัญด้วย ทั้ง 4 เป็นจรราศีและแม่ธาตุ โหราจารย์กำหนดให้เมษเป็นลัคนาดวงโลก ดังนั้น เมื่อมีดาวใหญ่จรใน 4 ราศีนี้ จะเกิดเหตุการณ์ใหญ่และส่งผลกระทบกว้างไกลไปทั่วโลก
ดังที่กล่าวไว้ครั้งก่อน เสาร์มังกรเป็นปรากฏการณ์สำคัญ แต่ครั้งนี้มันสำคัญมาก เพราะเกิดพร้อมมฤตยูเมษ มฤตยูเข้าเมษจริง 8 เมษายน 2560-1 มิถุนายน 2567 เสาร์เข้ามังกร 24 มกราคม 2563-17 มกราคม 2566 (เข้ากุมภ์ 29 เมษายน-12 กรกฎาคม 2565) เสาร์มังกรจึงเบียนกับมฤตยูเมษตลอดเวลา
มฤตยูเป็นดาวที่มีอิทธิพลสูงมาก มันปรากฏตัวพร้อมกำเนิดอเมริกาที่เพิ่งปลดแอกตัวเองจากอาณานิคมของอังกฤษ วิลเลียม เฮอร์เชลค้นพบมฤตยู 13 มีนาคม 2324 (ค.ศ.1781) เพียง 12 วันหลังจากอเมริกาบังคับใช้ Articles of Confederation ความหมายแรกสุดของมฤตยูจึงได้แก่ กบฏ ปลดแอกตัวเองจากการกดขี่ การต่อสู้กับอำนาจเก่า ปฏิวัติ อิสรภาพ เสรีภาพ ภราดรภาพ ความเสมอภาค ประชาธิปไตย
ในสุริยจักรวาล มฤตยูอยู่เลยจากเสาร์ เสาร์คือโครงสร้าง กฎระเบียบ สภาพเดิม ฯลฯ มฤตยูจึงทำลายเก่าเพื่อสร้างใหม่ โดยเฉพาะของเดิมที่ไม่ยืดหยุ่น ไม่ปรับตัว เก่าแก่ และล้าสมัย การเปลี่ยนแปลงคือจุดมุ่งหมายของมฤตยู แต่มฤตยูเปลี่ยนไปสู่สิ่งใหม่เปลี่ยนไปข้างหน้าเสมอ มิใช่เปลี่ยนเพื่อถอยกลับไปหาอดีต
วัฏจักร Sidereal ของมฤตยูที่ครบรอบจักรราศีคือ 84 ปี จักรราศีเริ่มต้นที่เมษ ทุกครั้งที่มฤตยูเข้าเมษ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่ นักโหราศาสตร์ถือเป็นการเข้าสู่ยุคใหม่ เมื่อตรวจสอบข้อมูลย้อนหลัง 400 ปี พบว่ามฤตยูเข้าเมษ 4 ครั้ง ทุกครั้งเกิดเหตุการณ์สำคัญกับไทย
ครั้งแรก 23 มีนาคม 2224 (ค.ศ.1681)-22 พฤษภาคม 2231 (ค.ศ.1688) อยู่ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ พระองค์ทรงเปิดกว้างสร้างสัมพันธ์ทางการค้า การทูต และรับวิทยาการใหม่ๆ จากต่างชาติ โดยเฉพาะฝรั่งตะวันตก เช่น ราชทูตฝรั่งเศสเข้าเฝ้า 18 ตุลาคมและลงนามสนธิสัญญาฉบับแรก 11 ธันวาคม 2228 อยุธยาเจริญรุ่งเรืองมากในยุคนี้ เมื่อมฤตยูออกจากเมษ พระองค์ถูกยึดอำนาจและสวรรคต 11 กรกฎาคม 2231
ในครั้งต่อมา 1 เมษายน 2308 (ค.ศ.1765)-25 พฤษภาคม 2315 (ค.ศ.1772) เป็นช่วงปลายอยุธยาและต้นธนบุรี นี่คือรอยต่อสำคัญในประวัติศาสตร์ กรุงศรีอยุธยาแตก 7 เมษายน 2310 พระเจ้าตากสินทรงกอบกู้อยุธยาจากพม่า 6 พฤศจิกายน 2310 ตั้งเมืองหลวงธนบุรี และปราบดาภิเษก 28 ธันวาคม 2311 พระองค์ทรงฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการค้าการทูตกับจีน ปราบชุมนุมต่างๆ และทำสงครามกับพม่าเขมร เพื่อรวมแผ่นดินเป็นหนึ่งและทำให้บ้านเมืองมั่นคง มฤตยูครั้งนี้ทำลายเก่าเพื่อสร้างใหม่อย่างชัดเจน
มฤตยูเมษ 2 ครั้งนี้มีผลต่อเนื่องกัน หลังจากพระนารายณ์สวรรคต พระเพทราชาทรงตัดสัมพันธ์กับฝรั่งเศส กระแสนิยมตะวันตกถดถอย กระแสชาตินิยมมาแรง การปฏิรูปหยุดชะงัก พลังงานของมฤตยูถูกปิดกั้น อยุธยาค่อยๆ เสื่อมลง เมื่อมฤตยูเข้าเมษอีกครั้ง อยุธยาจึงถูกทำลายอย่างราบคาบ อยุธยาล่มสลายเท่ากับเปิดโอกาสแก่อาณาจักรใหม่ การสร้างเมืองหลวงใหม่ของพระเจ้าตากสินสอดคล้องกับจุดประสงค์ของมฤตยู ธนบุรีจึงเจริญรุ่งเรืองและสืบต่อมายังกรุงเทพ
สำหรับครั้งที่ 3 มฤตยูเข้าเมษ 4 เมษายน 2392 (ค.ศ.1849)-28 พฤษภาคม 2399 (ค.ศ.1856) เป็นช่วงเปลี่ยนรัชกาล เปิดประเทศ และปฏิรูปสู่ความทันสมัย รัชกาลที่ 4 ขึ้นครองราชย์ 2 เมษายน 2394 ทรงเปิดกว้างทางการทูต การค้า และวิทยาการใหม่ๆ จากตะวันตกอีกครั้ง จุดเปลี่ยนคือการลงนามสนธิสัญญาเบาริงกับอังกฤษ 18 เมษายน 2398 รัชกาลที่ 4 ทรงปรับโลกทัศน์ของขุนนางและประชาชนไปสู่คติที่ว่า “พระมหากษัตริย์คือศูนย์กลางและศูนย์อำนาจของประเทศ” ซึ่งสำเร็จเป็นจริงในรัชกาลที่ 5 เมื่อทรงดึงอำนาจจากขุนนางและสถาปนา “รัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์” เสร็จสมบูรณ์
ครั้งสุดท้าย 25 มิถุนายน-2 กันยายน 2475 และ 6 เมษายน 2476-31 พฤษภาคม 2483 อยู่ในช่วงเปลี่ยนแปลงการปกครองและเริ่มลงหลักปักฐานระบอบประชาธิปไตย รัชกาลที่ 7 พระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับแรก 10 ธันวาคม 2475 และทรงสละราชสมบัติ 2 มีนาคม 2478 การเมืองวุ่นวายจากการแก่งแย่งอำนาจกันเอง จอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นนายกฯ 16 ธันวาคม 2481 และปลุกกระแสชาตินิยมอีกครั้ง อำนาจการเมืองการปกครองเริ่มรวมศูนย์เข้าสู่ระบบราชการที่มีทหารเป็นผู้นำ จนกลายเป็น “รัฐราชการ” ในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบัน
กรุงเทพมีมฤตยูเมษแล้ว 2 ครั้ง ครั้งแรกรัชกาลที่ 4 ทรงเห็นถึงภัยคุกคามจากชาติตะวันตก ถ้าไม่อยากซ้ำรอยอยุธยา ก็ต้องเปิดกว้างและปฏิรูปประเทศ เมื่อจุดประสงค์และพลังงานของมฤตยูถูกสานต่อ บ้านเมืองย่อมพ้นภัยและก้าวหน้าต่อไปได้ แต่การปฏิรูปก่อให้เกิดชนชั้นใหม่ที่มีความรู้ความสามารถและสำนึกในพลังอำนาจของปัจเจกชน คนกลุ่มนี้ผลักดันให้เปลี่ยนแปลงการปกครอง จนประสบความสำเร็จเมื่อมฤตยูเข้าเมษครั้งต่อมา ประวัติศาสตร์ย่อมสอดคล้องกับพลังดาว
มฤตยูเมษในปัจจุบันจะเกิดอะไร? เมษคือลัคนาดวงเมืองไทย ลัคนาหมายถึงความเป็นไปของบ้านเมือง ความเป็นอยู่ของประชาชน ฯลฯ มฤตยูต้องการอิสระ ยืดหยุ่น กระจายอำนาจ และต่อต้านการควบคุมบังคับ ภาคประชาชนจะตื่นตัวทางการเมือง ตระหนักในพลังของตน และต้องการให้บ้านเมืองเปลี่ยนแปลงไปข้างหน้าไปสู่สิ่งใหม่ที่ดีกว่า ปัญหาอยู่ที่เสาร์มังกร เสาร์คืออนุรักษนิยม แข็งเกร็ง รวมศูนย์ บังคับควบคุม ฯลฯ มังกรคือภพ 10 (การเมืองการปกครอง) รัฐราชการรวมศูนย์และกลุ่มผู้สนับสนุนจะยิ่งรวบอำนาจและขัดขวางทุกวิถีทาง
อนาคตอีกไม่นาน ความขัดแย้งระหว่าง 2 ฝ่ายจะยิ่งรุนแรงและบานปลายจนกลายเป็นวิกฤติ
คุณคิดว่าประเทศชาติบ้านเมืองจะลงเอยอย่างไร?