พรรคอนาคตกร่าง... โลกกว้าง ทางแคบ
ท่านผู้อ่านที่ได้ติดตามบรรยากาศการไต่สวนพยานในศาลรัฐธรรมนูญของคุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
และลีลาการทำงานการเมืองของพรรคอนาคตใหม่ ในการประชุมสภา 3 วันที่ผ่านมา หลายคนคงคิดแบบผม
คือมองเห็นอาการ “ฮ่องเต้ซินโดรม” เต็มสองตา และตั้งคำถามในใจว่า คนกลุ่มนี้ วิธีคิดแบบนี้ ควรมีโอกาสขึ้นมาบริหารประเทศจริงๆ หรือ
สิ่งที่คนกลุ่มนี้ขาดมากๆ เลยก็คือ การให้เกียรติบุคคลอื่น เห็นคุณค่าวัฒนธรรมประเพณีที่ปฏิบัติกันมา และเคารพความเชื่ออื่นที่แตกต่างจากตน
มีที่ไหนขึ้นศาลก็กวนประสาทตุลาการ อวดร่ำอวดรวย ต่อรองแลกเปลี่ยนกันหน้าบัลลังก์ด้วยตรรกะวิบัติ ถ้าตัดสินเป็นคุณกับผม จะรีบโอนหุ้นเข้าบลายด์ทรัสต์
มีที่ไหนรู้ทั้งรู้ว่าพระราชกำหนดบางฉบับ กฎหมายบางลักษณะมีที่มาจากอะไร รัฐบาลมีกรอบปฏิบัติที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ แต่ก็ฉวยโอกาสหาเรื่องด่าทอด้วยตรรกะวิปลาส เปรียบเทียบพระราชกำหนดเป็น ม.44 เห็นชัดเลยว่าความรู้ขนาดนี้คงไม่ได้โง่แบบที่พูดแน่ แต่เป็นการจงใจตีวัวกระทบคราด แถมได้โอกาสบูชายัญรัฐบาล
เล่นการเมืองมุ่งแต่ผลประโยชน์ในแนวทางของตัวเอง ไม่ได้สนใจเพื่อนร่วมทางที่เดินมาด้วยกัน จู่ๆ ต้องพิจารณากฎหมายสำคัญที่โดยประเพณีควรให้เกียรติกันระหว่างสถาบันผู้ใช้อำนาจอธิปไตย ก็แสดงอำนาจบาตรใหญ่แหกโผงดออกเสียงซะอย่างงั้น นั่งอยู่กลางศาลก็ด่าอดีตหัวหน้าพรรคการเมืองอื่นออกทีวีแก้เซ็ง
มีความเชื่อมั่นในตัวเอง ไม่จำเป็นต้องก้าวร้าว อยากต่อต้านหรือเปลี่ยนขนบ ไม่จำเป็นต้องหักด้ามพร้าด้วยเข่า การสร้างการเมืองใหม่ ไม่จำเป็นต้องเผาทำลายของเก่าให้ราบเป็นหน้ากลอง
ต้องขอยืมศัพท์ของ คุณหมอประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส ที่พูดถึงการขับเคลื่อนเพื่อแก้ไขปัญหายากๆ ของประเทศ โดยใช้ทฤษฎี “สามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา” มันต้องรวมคน รวมความร่วมมือจากทุกหมู่เหล่าช่วยกันผลักช่วยกันดันให้ขยับ ยิ่งสังคมไทยวันนี้เต็มไปด้วยความซับซ้อน คุณสมบัติของผู้นำการเมืองที่ดีที่ต้องมีก่อนเป็นอันดับแรก คือการให้เกียรติบุคคลอื่น
แต่พรรคอนาคตกร่างกลับสร้างศัตรูไปรอบทิศ ด่าทหาร วิจารณ์ข้าราชการ ทุกคนโบราณหมด โง่หมด ถ้าจริงก็น่าคิดว่าทำไมประเทศถึงอยู่มาได้เป็นร้อยๆ ปี
นิสัยแบบนี้ ทำงานการเมืองแนวนี้ กว่าจะต่อสู้ฟันฝ่าไปสร้าง “การเมืองใหม่” ตามที่ตัวเองประกาศเอาไว้ เพื่อนร่วมทางคงตายหมด หรือไม่ก็บ้านเมืองกลายเป็นซากปรักหักพัง เพราะบางคนยังฝังใจกับ “ฮ่องกงโมเดล”