อ่านทาง “ธนาธร”
คำประกาศของ คุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ว่าจะไม่อยู่ในสภา เพราะมีอภิสิทธิ์ชนไม่อยากให้ตนอยู่ (ซึ่งจริงๆ ก็ไม่ได้อยู่อยู่ก่อนแล้ว
คำประกาศของ คุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ว่าจะไม่อยู่ในสภา เพราะมีอภิสิทธิ์ชนไม่อยากให้ตนอยู่ (ซึ่งจริงๆ ก็ไม่ได้อยู่อยู่ก่อนแล้ว เพราะถูกพักการปฏิบัติหน้าที่ และถูกถอดพ้นสมาชิกภาพ ส.ส.ในที่สุด) และหลังจากนี้ จะไปเคลื่อนไหวนอกสภาแทน ทำให้เกิดคำถามว่า งานนี้คุณธนาธรทำไปเพื่ออะไร
เพราะจุดยืนเดิมของคุณธนาธรที่เคยเน้นย้ำหลายครั้ง คือมุ่งเปลี่ยนแปลงประเทศผ่านประชาธิปไตยระบบรัฐสภา
วิเคราะห์ทิศทางสถานการณ์จากคำประกาศของคุณธนาธรก็คือ พรรคอนาคตใหม่กำลังเปิดแนวรบ 2 ด้าน พร้อมๆ กัน คือ “งานสภา” ใช้ อาจารย์ปิยบุตร แสงกนกกุล และ “คุณช่อ” พรรณิการ์ วานิช เป็นหัวหอก ผนึกสายคนรุ่นใหม่ กับสายลายครามอย่าง พล.ท.พงศกร รอดชมภู ส่วนอีกด้าน คือ “งานนอกสภา” มีคุณธนาธรเป็นหัวหอกด้วยตนเอง
คาดว่าหลังจากนี้จะมีการระดมทีมงานและระดับมันสมองของพรรค ตลอดจนทีมโซเชียลมีเดีย ไปสนับสนุนงานนอกสภาแบบเต็มพิกัด เพื่อสร้างกระแสให้เกิดขึ้นให้ได้ (เริ่มมีกิจกรรมแนวแมสแปลกๆ เช่น วิ่ง save อนาคตใหม่ / วิ่งไล่ลุง) เพราะแนวรบรอบนี้ คือเดิมพันสูงเกือบที่สุดของคุณธนาธรและพรรคพวกแล้ว
วิธีการทำงานจะทำสอดประสานกันทั้งในและนอกสภา เช่น คุณธนาธรโหมกระแสยกเลิกการเกณฑ์ทหาร ทางพรรคอนาคตใหม่ก็จะเสนอร่างกฎหมาย หรือเปิดแถลงข่าวในอาคารรัฐสภา และยื่นกระทู้หรือญัตติในเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกัน เช่น การละเมิดสิทธิ์พลทหาร เพื่อเพิ่มน้ำหนักการเคลื่อนไหวรณรงค์นอกสภา แบบนี้เป็นต้น
หัวใจหลักของการสร้างกระแส คือใช้วาทกรรม “ฝ่ายประชาธิปไตย” เพื่อแบ่งข้างให้ชัด แล้วหาเหตุโจมตีกองทัพในนามของเผด็จการ พร้อมๆ กับสร้างประเด็นตรวจสอบฝ่ายทหาร เช่น เรื่องงบประมาณ ซึ่งโดยนัยก็จะกระทบถึงภาพรวมรัฐบาลและวุฒิสภาด้วย
นอกจากนั้น ก็ใช้ประเด็นยกเลิกเกณฑ์ทหารเป็นเครื่องมือสร้างกระแสสนับสนุนจากคนรุ่นใหม่ และจัดกิจกรรมระดมมวลชน (เช่น กิจกรรมวิ่งมาราธอน) โดยอาศัยอารมณ์ของผู้คนที่กำลังเบื่อรัฐบาลและเครียดกับปัญหาเศรษฐกิจ
ภาพที่ออกมา ก็จะกลายเป็นว่า นายธนาธรต่อสู้เผชิญหน้ากับกองทัพที่มีอำนาจเหนือกว่า ซึ่งก็คือ “อำนาจเผด็จการ” (จากการสร้างวาทกรรม) โดยการเคลื่อนไหวในมุมนี้ เป็นเรื่องของอุดมคติ และอุดมการณ์ จับต้องไม่ได้ แต่จะสร้างให้นายธนาธรเป็นผู้นำเชิงสัญลักษณ์ในการต่อสู้
ส่วนในระดับที่จับต้องได้ และสามารถดึงประชาชนมามีส่วนร่วมได้ แม้อุดมการณ์จะไม่เหมือนกันเสียทีเดียว ก็คือการยกเลิกการเกณฑ์ทหาร เรียกว่าใช้เรื่องเลิกเกณฑ์ทหารเป็นเครื่องมือในช่วงต้น แล้วภายหลังน่าจะยกระดับเป็นเรื่องเศรษฐกิจและความล้มเหลวด้านอื่นๆ ของรัฐบาล
การเคลื่อนไหวจะเพิ่มดีกรีความร้อนแรงขึ้นไปเรื่อยๆ โดยจุดแตกหักจะอยู่ที่การยุบพรรคอนาคตใหม่ หรือคุณธนาธรพลาดแพ้คดี ต้องเข้าเรือนจำ ที่น่าจับตาก็คือ การแสวงหาการสนับสนุนจากต่างประเทศ เพื่อกดดันรัฐบาลอีกแรง ซึ่งเป็นงานที่ฝ่ายคุณธนาธรถนัดมาก
หลายคนคงนึกถึง “ฮ่องกงโมเดล” และอย่าไปเชื่อคำประกาศของคนในพรรคอนาคตใหม่ว่า จะไม่พาคนลงถนน เพราะในอดีตคุณธนาธรก็เคลื่อนไหวร่วมกับมวลชนบนถนนมาตลอด โดยเฉพาะคนเสื้อแดงปี 53