'ทรัมป์' ร้ายแบบไหน? หนัง 'รอย โคห์น' ตีแผ่สะท้อนภาพชัด!
สงครามที่อาจเกิดขึ้นอย่างน่ากังวล ระหว่าง "สหรัฐอเมริกา-อิหร่าน" ยังคงต้องจับตา ทำให้อยากรู้เบื้องหลังการทำงานและชีวิตของ "โดนัลด์ ทรัมป์"
ภาพยนตร์ที่น่าสนใจ เรื่อง Where's My Roy Cohn? เกี่ยวกับทนายความชื่อดังผู้ล่วงลับ อย่าง
"รอย โคห์น" เป็นภาพยนตร์สารคดีที่ออกฉายปีที่ผ่านมา (2019) ที่เกี่ยวพันใกล้ชิด "โดนัลด์ ทรัมป์" ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในยุคเริ่มทำธุรกิจ
หนังไม่ได้เล่าเพียงแค่ชีวิตของ "รอย โคห์น" หากแต่อธิบายสังคมอเมริกันในยุคต่อสู้แนวคิดคอมมิวนิสต์ที่แผ่ขยายไปทั่วโลก นับตั้งแต่ปี 1917 จนถึงสงครามเย็นที่มีความขัดแย้งแบ่งเป็น 2 ขั้ว ฝ่ายประชาธิปไตยนำโดยสหรัฐอเมริกา ฝ่ายคอมมิวนิสต์นำโดยสหภาพโซเวียต
ทนายในตำนานยุคต้านคอมมิวนิสต์
"รอย โคห์น" เกิดในครอบครัวชาวยิว เมืองนิวยอร์กซิตี้ พ่อเป็นผู้พิพากษา โดยตามรอยบิดาเรียนกฎหมายจาก มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย เริ่มทำงานไม่นานได้เป็นผู้ช่วยอัยการ ที่เออร์วิงซายโพในแมนฮัตตัน แต่ที่โด่งดัง เป็นรู้จัก เพราะได้ร่วมงานกับวุฒิสมาชิก อย่าง "โจเซฟ แม็กคาร์ธี" ซึ่งได้รับเป็นหัวหน้าที่ปรึกษา
ร่วมทำคดีสายลับจารกรรมข้อมูลจนชนะ ศาลโดยคณะลูกขุนได้พิพากษาประหารชีวิต จูเลียสกับอีเธล โรเซนเบิร์ก (Julius-Ethel Rosenberg) คู่สามีภรรยาชาวสหรัฐ ข้อหาจารกรรม ข้อมูลเกี่ยวกับระเบิดนิวเคลียร์ให้แก่สหภาพโซเวียต
ความสัมพันธ์ระหว่าง "รอย โคห์น" และ "โจเซฟ แม็กคาร์ธี" แน่นแฟ้นมาก และการเข้ามาของลูกเศรษฐีรูปหล่อ "เดวิด ชาน" ที่กำลังเป็นทหาร มีการไต่สวน โดยคณะอนุกรรมการสอบสวน ของวุฒิสภาสหรัฐอเมริกา เพื่อสอบสวนข้อกล่าวหาที่ขัดแย้งกันระหว่าง กองทัพสหรัฐฯกับวุฒิสมาชิกสหรัฐ "โจเซฟ แม็กคาร์ธี"
ซึ่งกองทัพกล่าวหาว่าหัวหน้าคณะกรรมการที่ปรึกษา "รอย โคห์น" กดดันให้กองทัพรักษาสิทธิพิเศษให้กับ "เดวิด ชาน" ซึ่งเป็นอดีตผู้ช่วยของแม็กคาร์ธี และเพื่อนของโคห์น แต่จบที่ฝ่ายกองทัพเป็นผู้กำชัย ท่ามกลางข่าวว่ามีความพยายามทุกวิถีทางทำให้กองทัพโอนอ่อนผ่อนตามแต่ไม่เป็นผล
ทรัมป์ศิษย์เอกทนายสีเทา
หลังจากโคห์นออกจากแม็กคาร์ธี เขาเป็นทนายมีสำนักงานที่นิวยอร์กซิตี้ ถือเป็นทนายหนุ่มวัย 30 ปีที่รับทำคดีไหนไม่เคยพลาด ในขณะที่สมัยนั้นแก๊งมาเฟียมีอิทธิพลในหลายธุรกิจ ซึ่งเป็นลูกค้ามือหนักของโคห์น เขาเฉิดฉายในสังคมชั้นสูงของนิวยอร์ก เป็นตัวเชื่อมระหว่างธุรกิจบนดินกับใต้ดิน และความเป็นนักกฎหมายมีเส้นสายในแวดวงการเมืองและกระบวนการยุติธรรม ทำให้ชื่อของเขากลายเป็นบิ๊กเนมที่ใครๆก็อยากรู้จัก
หนึ่งในนั้นคือ "โดนัล ทรัมป์" ได้เรียนรู้จากโคห์นเหมือนครูกับศิษย์ ซึ่งในปี 1971 ทรัมป์ย้ายไปแมนฮัตตัน มีส่วนร่วมในโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ ในปี 1973 และถูกกระทรวงยุติธรรม กล่าวหาว่าละเมิดพระราชบัญญัติการเคหะใน 39 ประการ รัฐบาลกล่าวหาว่าบริษัทของทรัมป์ด้วย
"รอย โคห์น" เป็นตัวแทนของทรัมป์ ยื่นฟ้องรัฐบาลเรียกค่าเสียหาย 100 ล้านดอลลาร์ โต้ข้อหาดังกล่าวนั้น ไม่มีมูลความจริงแต่การฟ้องไม่สำเร็จ
ขณะเดียวกัน เจ้าพ่อสื่อ อย่าง "รูเพิร์ต เมอร์ด็อก" ก็เป็นลูกค้าของโคห์น ร่วมกันกดดันประธานาธิบดี โรนัลด์ เรแกน หลายครั้งเพื่อผลประโยชน์ของธุรกิจตัวเองอีกด้วย
เมื่อบทบาทของโคห์น กลายเป็นคนที่ทรงอิทธิพลทางการเมือง ใช้ระบบเส้นสายชักใยเบื้องหลัง การที่เขาไม่ยี่หระใคร เชื่อมั่นในตัวเองสูงมาก ทำให้เกิดคดีมีการสืบสวนของรัฐบาลกลาง ช่วงปี 1970 และ 1980 เรียกเก็บเงินโคห์นสามครั้งด้วยการประพฤติผิดทางวิชาชีพรวมถึงการให้การเท็จ และการปลอมแปลงพยาน ความไม่เหมาะสมทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับสัญญาของเมืองและการลงทุนภาคเอกชน
แม้ต่อสู้พ้นข้อหาทั้งหมดในที่สุด แต่ผู้พิพากษาของศาลอุทธรณ์กองศาลฎีกาแห่งรัฐนิวยอร์ก สั่งห้ามและถอดถอนโคห์นพ้นจากทนายความ เพราะประพฤติผิดจรรยาบรรณและไม่เป็นมืออาชีพรวมทั้งการยักยอกเงินของลูกค้า โกหกบนใบสมัครบาร์และกดดันให้ลูกค้า.. และท้ายที่สุดของโคห์นจบชีวิตลงด้วยโรคเอดส์ในวัย 59 ปี ท่ามกลางสิ่งที่เขาปฏิเสธมาทั้งชีวิตกรณีรักร่วมเพศ
ภาพสะท้อน "โคห์น" ส่องตัวตน "ทรัมป์"
หนังบอกเล่าตัวตนของ "โคห์น" ที่มีแต่ผลประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้อง แม้จะอ้างประชาธิปไตยต่อต้านคอมมิวนิสต์ ก็เพื่อก้าวสู่ผู้มีอิทธิพลทรงอำนาจสร้างความมั่งคั่ง ทำให้ทายาทนักธุรกิจอย่างโดนัลด์ ทรัมป์ ที่หวังประสบความสำเร็จโดยไม่สนใจวิธีการ เข้ามาเรียนรู้จากเขา ขณะเดียวกัน ยังบอกวิธีการทำงานการเมือง โดยการสัมภาษณ์คนในครอบครัว เพื่อนร่วมงาน นักข่าวรุ่นเก่า และคนอื่นๆ มาเรียงร้อยเป็นภาพยนตร์สารคดีที่ไม่น่าเบื่อ และเล่าสะท้อนได้เป็นอย่างดี
ประการแรก ภาพสะท้อนระบบอุปถัมป์ในสังคมอเมริกัน การมีเส้นสายทั้งในพรรคการเมืองและราชการ ทำให้โคห์นเข้าไปใช้ประโยชน์ด้วยการนำปัจจัยจากกลุ่มธุรกิจสีเทามาเป็นตัวขับเคลื่อนให้ตนเองและพวกพ้องชนะคดีและหลุดคดี หรือได้รับการลงโทษที่เบาลง มีหรือคนใกล้ชิดศิษย์เอกอย่าง ทรัมป์ จะไม่รู้?
ประการที่สอง สะท้อนให้เห็นการฉ้อฉลเป็น "ศาสตร์" ของคนกลุ่มหนึ่ง ที่ถ่ายทอดเป็นวิชาในแสวงหาความสำเร็จและร่ำรวย หากจะศึกษาอย่างละเอียดเส้นทางทรัมป์จากลูกเศรษฐีสู่มหาเศรษฐีและประธานาธิบดีในที่สุดล้วนน่าพินิจทั้งสิ้น
ประการที่สาม ความต้องการอำนาจและผลประโยชน์ ไม่สนวิธีการที่จะได้มาในสิ่งเหล่านั้น และคำโป้ปดมดเท็จเพื่อให้ได้ชัยชนะ กลายเป็นที่ ทรัมป์ ได้เห็นและสัมผัสจากรอย โคห์น มาแล้ว
จะเกิดสงครามหรือไม่?
จากภาพยนตร์สู่ความเป็นจริง การที่ ทรัมป์ ไฟเขียวให้สังหารนายพลคนดัง ของอิหร่าน จนหวั่นจะเกิดสงคราม ซึ่งคงจะมีการปะทะกันอย่างต่อเนื่องนับจากนี้ จนกลายเป็นสงครามในตะวันออกกลางหรือไม่ แต่ก็น่าคิดว่า หากทรัมป์เอาผลประโยชน์เป็นตัวตั้ง แม้อิหร่านจะบุกโจมตีเพื่อล้างแค้นและถูกตอบโต้กลับ จนกลายเป็นสงครามก็คงไม่ยืดเยื้อเพราะต้องคำนวณจะได้คุ้มเสียหรือไม่
สรุปคือการต่อสู้แบบอเมริกันสไตล์ ทั้ง "โคห์น" และ "ทรัมป์" มุ่งผลประโยชน์ที่จะได้รับเท่านั้น!!