ความเหลื่อมล้ำ 2020 (1): เรารู้อะไร เราควรรู้อะไร
เป็นที่น่าดีใจว่าในระยะหลายปีหลังมีการพูดถึงความเหลื่อมล้ำมากขึ้นทั้งในประเทศไทยและนานาประเทศ
น่าดีใจเพราะว่าความเหลื่อมล้ำเป็นปัญหาทั้งในตัวเองเพราะขัดกับหลักการพื้นฐานว่าทุกคนควรมีโอกาสชีวิตที่เท่าเทียมกัน และยังเป็นรากเหง้าของอีกหลากปัญหาตั้งแต่ปัญหาระดับโครงสร้าง เช่น ความไม่มีเสถียรภาพทางสังคมและการเมือง ประชาธิปไตยไร้คุณภาพ หรือปัญหาที่ใกล้ตัวเช่นการขายบริการทางเพศ อาชญากรรม เป็นต้น
ความตื่นตัวในเรื่องนี้นำไปสู่การถกเถียงถึงแนวทางในการแก้ปัญหาที่มีมุมมองหลากหลายกว่าในอดีต ไม่ว่าจะเป็นการเพ่งความสนใจไปที่การกระจุกตัวของทุนในมือคนส่วนน้อยนิด ที่บางทีเรียกว่า the top 1% รวมทั้งผลต่อเนื่องมาถึงโครงสร้างอำนาจการเมือง การกำหนดนโยบาย เป็นต้น
เพื่อเป็นการต้อนรับปี 2020 ผมขอเรียบเรียงเรื่องราวความเหลื่อมล้ำของไทย โดยแบ่งเป็นสองตอน ตอนแรกเป็นการสรุปว่าเรารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับความเหลื่อมล้ำในไทย และเรื่องที่เราควรรู้แต่อาจยังรู้ไม่มากนักหรือรู้เฉพาะในวงแคบของผู้ที่ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด ตอนที่สองจะดูว่าประเทศไทยได้ทำอะไรไปบ้างแล้วเกี่ยวกับปัญหาความเหลื่อมล้ำ และเรื่องที่เราควรทำแต่ยังไม่ได้ทำ
มีเรื่อง ‘เก่าๆ’ ที่เรารู้ดีพอแล้วเกี่ยวกับความเหลื่อมล้ำ เช่นมีความแตกต่างระหว่างเมืองและชนบท ระหว่างภูมิภาค ระหว่างกรุงเทพหัวเมืองใหญ่ และเมืองรอง มีคน ‘ชายขอบ’ ทั้งในแง่ภูมิศาสตร์เช่น ตามตะเข็บชายแดน บนยอดเขาสูงที่คมนาคมเข้าถึงยาก และในแง่สังคมซึ่งหมายถึงกลุ่มคนที่มีสถานะทางสังคมด้อยกว่าคนทั่วไป เช่นคนไร้รัฐ แรงงานต่างด้าว คนขายบริการทางเพศ บุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ
ส่วนสาเหตุของความเหลื่อมล้ำที่มีการพูดกันมากแล้วเช่น คนไม่เท่าเทียมกันเพราะเกิดมาในครอบครัวต่างฐานะกันมาก หรือความไม่เท่าเทียมกันในเรื่องอื่น ๆ เช่นระดับการศึกษาสูงสุดหรือคุณภาพการศึกษาที่ได้รับกรณีเรียนเท่ากัน การเข้าถึงความรู้นอกห้องเรียนและแหล่งทุน การได้รับความยุติธรรมตามกฎหมาย เครือข่ายคนรู้จักที่สามารถช่วยเหลือเกื้อกูลในเรื่องต่างๆ ทั้งเรื่องการทำมาหากินหรือการวิ่งเต้นเป็นต้น เรื่องเหล่านี้มีการศึกษาและพูดถึงมานาน รวมทั้งมีการเสนอทางออกในแต่ละเรื่องไว้หลากหลาย ซึ่งส่วนใหญ่ยังไม่ได้นำไปสู่การลดความเหลื่อมล้ำอย่างมีนัยสำคัญ จนหลายคนเริ่มถอดใจว่าหรือเราจะถึงทางตันในการแก้ปัญหาที่ใหญ่หลวงนี้
การที่เรื่องที่เรารู้ข้างต้นไม่ช่วยนำไปสู่การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ อาจแสดงว่ามีเรื่องอื่นที่เราควรรู้เพิ่มขึ้น หรือในเรื่องเดิม ๆ นั้นมีแง่มุมอื่นที่ต่างไปจากที่คุ้นเคยกันที่เรายังไม่รู้ ถ้าเช่นนั้นอะไรเล่าคือสิ่งที่เราควรรู้เพิ่มขึ้นเพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำได้ดียิ่งขึ้น
ผมคิดว่ามีสิ่งที่เราควรรู้เพิ่มขึ้น 6 ประการ ประการแรก ไทยติดอันดับ 10 ประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำด้านความมั่งคั่งมากที่สุดในโลกความ ‘พิเศษ’ นี้ชวนสงสัยว่าระบบเศรษฐกิจการเมืองของเราน่าจะเอื้อให้เกิดความเหลื่อมล้ำตัวอย่างเช่นมีงานวิจัยพบว่าการแข่งขันในภาคเอกชนของเราลดลง อำนาจทางธุรกิจกระจุกตัวมากขึ้น การคอร์รับชันแพร่หลายขึ้นและทำได้ง่ายขึ้นโดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจสูงกว่าคนทั่วไป ประโยชน์ที่ได้โดยมิชอบนี้ยิ่งเพิ่มความเหลื่อมล้ำให้สูงขึ้น
ประการที่ 2 แม้ช่องว่างของระดับการศึกษาและการเข้าถึงบริการสาธารณสุขจะลดลง แต่เป็นการลดลงในระดับ ‘พื้นฐาน’ ในขณะที่ความแตกต่างในระดับที่สูงกว่าขั้นพื้นฐานมีแนวโน้มถ่างตัวขึ้น เช่นลูกคนรวยมีโอกาสเรียนจบมหาวิทยาลัยชั้นดีมากกว่า มีทักษะระดับสูงมากกว่า คนรวยได้รับบริการสุขภาพระดับพรีเมียมมากขึ้น อายุยืนมากขึ้น เป็นต้น สอดคล้องกับหลักฐานหลายประการที่บ่งชี้ว่าความเหลื่อมล้ำเพิ่มขึ้นระหว่างคนรวยมาก ๆ กับคนชั้นกลาง/คนจน
ประการที่ 3 ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่กำลังป่วนโลก (disruptive technology) น่าจะทำให้ความเหลื่อมล้ำมากขึ้น
ประการที่ 4 มีความเป็นไปได้ที่ประเทศไทยจะเริ่มมี ‘คนจนดักดาน’ ในระดับไม่น้อยกว่า 10% ของประชากร เห็นได้ที่สัดส่วนคนจนเพิ่มขึ้นในห้วงปี 2558-2561 แม้เศรษฐกิจจะขยายตัวเกินร้อยละ 3 ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทย
ประการที่ 5 คนส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าประเทศที่ได้ชื่อว่ามีความเหลื่อมล้ำน้อยโดยเฉพาะในแถบยุโรปนั้นสาเหตุหลักเป็นเพราะภาครัฐจัดสรรสวัสดิการให้ประชาชนของเขาอย่างเท่าเทียมกันในลักษณะถ้วนหน้า โดยถือว่าเป็นสิทธิ์ไม่ใช่การสงเคราะห์ ไม่ว่าจะเป็นการให้เรียนฟรีกับทุกคนอย่างแท้จริงจนถึงระดับสูงเช่นอย่างน้อยมัธยมศึกษาในทุกโรงเรียนซึ่งมีคุณภาพใกล้เคียงกันทั่วประเทศ ให้หลักประกันสังคมอย่างทั่วถึงไม่ว่าจะเป็นกรณีเจ็บป่วย ว่างงาน ทุพลภาพ และในหลายประเทศทำร่วมกับการส่งเสริมให้ประชาชนมีทักษะการทำงานและการประกอบธุรกิจระดับสูง สองเรื่องนี้เกื้อกูลกัน เพราะการดูแลประชาชนอย่างดีจนเขาไม่กังวลความเสี่ยงอื่นในชีวิตทำให้ผู้ประกอบการเหลือเพียงความเสี่ยงจากการดำเนินธุรกิจเท่านั้นที่ต้องกังวล เป็นวิธีส่งเสริม SME ที่ดีกว่ามาตรการอื่นเกิดผลดีสองต่อคือระบบสวัสดิการมีความยั่งยืนทางการเงินและประเทศแข่งขันได้
ประการที่ 6 มีงานวิจัยจำนวนไม่น้อยที่ระบุว่าการ ‘ขาดเงิน’ ไม่ใช่เป็นเพียงนิยามของความยากจนเท่านั้น แต่เป็นข้อจำกัดที่สำคัญในตัวเองด้วยกล่าวคือถ้าคนจนได้รับการจัดสรรเงินหรือทรัพยากรในรูปแบบที่เหมาะสม คนจนจะใช้เงินดังกล่าวไปปลด ‘ข้อจำกัด’ ของการหลุดพ้นความจนไม่ว่าจะเป็นการขาดการศึกษาหรือทักษะ การไม่กล้าลงทุนเนื่องจากรายได้ไม่สม่ำเสมอ เป็นต้น
ในตอนหน้าผมจะเขียนถึงว่ามีเรื่องอะไรที่ไทยควรทำแต่ยังไม่ได้ทำในการลดความความเหลื่อมล้ำ
โดย... สมชัย จิตสุชน