อู่ฮั่นสู้สู้

อู่ฮั่นสู้สู้

วันนี้คนทั่วจีนและทั่วโลกต่างส่งกำลังใจให้ชาวอู่ฮั่น ภาษาจีนใช้คำว่า “อู่ฮั่นเจียโหยว”

 “อู่ฮั่นเจียโหยว” แปลว่า “อู่ฮั่นสู้สู้” ให้ควบคุมสถานการณ์การระบาดของโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ให้ได้โดยเร็ว

กรณีโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้ในช่วงแรก ทั้งรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นของจีนประเมินความรุนแรงของการระบาดของโรคผิดไป เพราะช่วงแรกยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่า เชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่สามารถติดต่อจากคนสู่คน เนื่องจากผู้ป่วยชุดแรกส่วนใหญ่เป็นผู้ที่เคยเดินทางไปตลาดสดที่เป็นต้นตอการระบาดที่เมืองอู่ฮั่น ในทางการแพทย์ เมื่อยังไม่มีหลักฐานว่า เชื้อแพร่จากคนสู่คนได้ และยังไม่มีการรายงานการแพร่กระจายของเชื้อนอกเขตระบาด จึงไม่ได้ยกระดับการเฝ้าระวัง ด้วยไม่อยากให้คนตื่นตระหนกจนเกินควร

จนเมื่อพบผู้ป่วยนอกพื้นที่ที่ไม่เคยไปตลาดสดที่เป็นปัญหาไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงที่จะติดเชื้อจากสัตว์ เพียงแต่ได้เคยพบญาติที่มาจากอู่ฮั่น จากนั้นจึงติดเชื้อล้มป่วย จึงชัดเจนว่าเชื้อนี้สามารถแพร่ได้จากคนสู่คน รัฐบาลจีนจึงได้ตระหนักว่าต้องเตรียมรับมือ “worst case” หรือความเป็นไปได้ที่เลวร้ายที่สุด เช่น เชื้ออาจแพร่ต่อกันได้แม้กระทั่งยังไม่แสดงอาการด้วยซ้ำ หรือความเป็นไปได้ที่เชื้อจะกลายพันธุ์จนมีความรุนแรงมากขึ้นหรือแพร่กระจายได้เร็วขึ้น

ผมเห็นว่าต้องชื่นชมรัฐบาลจีนที่ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดและรวดเร็วในการจำกัดการเข้าออกเมืองอู่ฮั่น โดยประกาศมาตรการได้ทันก่อนเริ่มเทศกาลตรุษจีน ซึ่งจะมีการเคลื่อนย้ายของคนมหาศาล นับเป็นยาแรงที่ช่วยควบคุมและลดความรุนแรงของการแพร่กระจายเชื้อได้อย่างมีนัยสำคัญ

รัฐบาลจีนเคยมีบทเรียนที่เจ็บปวดจากการต่อสู้กับการระบาดของโรคไวรัสSARS เมื่อ ค.ศ. 2002-2003 ซึ่งการปกปิดข้อมูลและข่าวสารของรัฐบาลจีน ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลจีนและระบบการเมืองจีนในขณะนั้นเป็นอย่างมาก ในครั้งนี้ เราจึงจะเห็นว่าจีนให้ความสำคัญกับการสื่อสารข้อมูลกับพลเมืองเป็นพิเศษ โดยออกมายอมรับว่านี่เป็นเรื่องใหญ่และร้ายแรง ปลุกระดมความสามัคคีและความเห็นใจจากคนจีนทั้งประเทศให้ช่วยกันต่อสู้ไวรัสร้ายและส่งแรงกายแรงใจไปช่วยเพื่อนร่วมชาติที่เมืองอู่ฮั่น

รัฐบาลจีนมีการเปิดเผยและอัพเดทข้อมูลตัวเลขผู้ติดเชื้อตลอด ซึ่งแม้จะยังมีหลายฝ่ายที่ตั้งข้อสงสัยว่าตัวเลขจริงหรือไม่ ส่วนตัวผมคิดว่าตัวเลขนั้นจริงและเชื่อถือได้ เพราะสำหรับรัฐบาลจีนแล้ว ความเสี่ยงของการปิดบังข้อมูลจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและศรัทธาของประชาชนต่อระบบอย่างยิ่ง อีกทั้งยุคสมัยนี้ต่างจากปี ค.ศ. 2002 พลเมืองจีนมีความคาดหวังที่สูงขึ้นมากต่อความโปร่งใสของรัฐบาลหากเราดูตัวเลขที่ก้าวกระโดดอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ บางวันมีจำนวนคนป่วยเพิ่มขึ้นมากกว่า 1,000 คน ก็จะเห็นได้ว่านี่เป็นตัวเลขจริง เพราะถ้าจะตกแต่งตัวเลข คงจะไม่ตกแต่งเป็นแบบนี้

แต่ที่หลายคนยังคงกังวล คือถึงแม้ว่ารัฐบาลจีนจะไม่ได้ปกปิดตัวเลข แต่ในโลกความเป็นจริง จำนวนผู้ติดเชื้อจริงอาจสูงกว่าตัวเลขที่ทางการทราบมากมาย เพราะตัวเลขที่เปิดเผยคือตัวเลขของผู้ป่วยที่ได้รับการตรวจทางห้องปฏิบัติการและทราบผลชัดเจนว่าติดเชื้อ แต่น่าจะยังมีอีกมากที่ยังไม่ได้รับการตรวจ หรือที่อาการไม่รุนแรงหรือแทบไม่มีอาการ แต่มีเชื้อ ซึ่งสามารถเป็นพาหะนำโรคได้ เพราะฉะนั้นจำนวนของคนที่สามารถเป็นพาหะนำโรคจริงจึงไม่แน่นอนว่ามีเท่าใดแน่ มีนักวิเคราะห์คำนวณตามโมเดลการแพร่กระจายของโรคระบาด มีทั้งที่ประเมินตัวเลขตั้งแต่หลักหลายพันจนถึงหลักหลายหมื่นไปถึงเรือนแสน ตามแต่จะเชื่อการประเมินของใครและบุคคลนั้นประเมินตามความเป็นไปได้ที่ดีที่สุด(best case)หรือความเป็นไปได้ที่ร้ายแรงที่สุด(worst case)

ปัญหาที่ชวนวิตกของโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ มีอยู่ 2 ข้อใหญ่ ข้อแรก คือ ไวรัสตัวนี้เป็นไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ความเข้าใจของวงการแพทย์เกี่ยวกับไวรัสชนิดนี้และอาการของโรคจึงน้อยมาก ตอนนี้ได้มีการตีพิมพ์ผลการวิเคราะห์อาการของผู้ติดเชื้อชุดแรกในวารสารวิชาการ ซึ่งพบว่าโรคจะร้ายแรงเป็นพิเศษในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีโรคประจำตัวอื่น แต่นี่เป็นผลการศึกษาจากจำนวนผู้ติดเชื้อชุดแรก 41 คน เท่านั้น ในทางวิชาการถือว่าเป็นกลุ่มตัวอย่างที่มีจำนวนน้อย ดังนั้น เราจะทราบเกี่ยวกับลักษณะและความรุนแรงของโรคได้ดีขึ้นเมื่อเรามีชุดข้อมูลที่ใหญ่ขึ้น ปัจจุบัน มีการประเมินอัตราการเสียชีวิตตั้งแต่ 3-20% ตามแต่ทฤษฎีการวิเคราะห์ของแต่ละคน ดังนั้น ข้อมูลเกี่ยวกับไวรัสตัวนี้จึงยังมีความไม่แน่นอนสูงมาก จำเป็นที่ต้องติดตามอัพเดทข้อมูลตลอด

ข้อสอง คือ ความเป็นไปได้ที่จะเกิดการแพร่ระบาดระดับโลก เนื่องจากปัจจัย 2 ข้อ คือ 1. อาการของไวรัสไม่รุนแรงในช่วงแรก หรือบางรายอาการไม่รุนแรง แต่ยังสามารถแพร่เชื้อได้ 2. การเดินทางระหว่างประเทศในโลกยุคปัจจุบันที่เพิ่มขึ้นกว่าแต่ก่อนมหาศาล โดยเฉพาะมีแรงงานและนักท่องเที่ยวจีนเดินทางออกไปทั่วทุกมุมโลก

รมว.สาธารณสุขของจีนแถลงว่า ความท้าทายสำคัญของการควบคุมโรคในเมืองจีนคือ ผู้ติดเชื้อที่กลับบ้านชนบทในช่วงตรุษจีน ซึ่งชนบทห่างไกลของจีนยังเข้าไม่ถึงระบบสาธารณสุขที่มีมาตรฐาน ซึ่งอาจทำให้เชื้อแพร่กระจายไปได้กว้างและเร็วมาก ต่างจากในเขตเมือง ซึ่งน่าจะสามารถควบคุมได้ดีกว่า

ล่าสุดมูลนิธิของบิลเกตต์ได้ออกมาบริจาคเงิน 10 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ เพื่อต่อสู้กับโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่โดยครึ่งหนึ่งใช้สำหรับซื้อยาและอุปกรณ์การแพทย์ให้ชาวอู่ฮั่น ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเป็นทุนสนับสนุนศูนย์การป้องกันโรคระบาดที่แอฟริกา เพราะถ้าโรคนี้เกิดไประบาดในแอฟริกาที่การควบคุมโรคระบาดและระบบสาธารณสุขยังไม่ดีพอ การแพร่กระจายของโรคและการระบาดในระดับโลกจะยิ่งรุนแรง เช่นเดียวกันกับความเป็นไปได้ในการระบาดในกัมพูชา ลาว พม่า ซึ่งมีคนจีนเข้าไปทำงานมหาศาล ดังนั้น ความร่วมมือในการต่อต้านโรคระบาดในระดับนานาชาติจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งเช่นกัน

วันนี้เราทุกคนส่งกำลังใจให้เพื่อนชาวจีนที่อู่ฮั่น ขอให้ อู่ฮั่นสู้สู้รวมทั้งเป็นกำลังใจให้กับแพทย์และทีมงานสาธารณสุขทั่วโลกที่ทำงานเต็มที่ เพื่อรักษาชีวิตผู้ป่วย และร่วมมือกันควบคุมการระบาดของโรคนี้ครับ