New Normal กับการลงทุน
ท่ามกลางการตกต่ำลงของหุ้นและตลาดหุ้นทั่วโลกเนื่องจากวิกฤติไวรัสโคโรน่า หุ้นที่ใหญ่ที่สุดในโลกตัวหนึ่งคือหุ้นของอะมาซอน
ยักษ์ใหญ่ด้าน e-commerce ของอเมริกากลับดีดตัวขึ้นเป็น “All time high” คือสูงสุดในประวัติศาสตร์ที่ประมาณ 2,375 เหรียญหรือ 77,000 บาทต่อหุ้นในวันที่ 17 เมษายน 2563 เหตุผลคงเป็นเพราะนักลงทุนเห็นว่าอะมาซอนไม่ถูกกระทบจากวิกฤติครั้งนี้ ว่าที่จริงดูเหมือนว่าบริษัทจะมีลูกค้ามากขึ้นมากจน “ทำงานแทบไม่ทัน” เพราะคนอเมริกันและทั่วโลกต่างก็ต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการซื้อขายสินค้าจากการไปซื้อหน้าร้านมาซื้อขายผ่านทางอินเตอร์เน็ตผ่านอะมาซอนเป็นจำนวนมาก และนักลงทุนก็เชื่อว่าเมื่อคนหันมาใช้ช่องทางนี้แล้ว พวกเขาก็จะไม่หันกลับไปซื้อจากหน้าร้านเท่าเดิมแม้ว่าการระบาดของโควิด19 อาจจะผ่านไปแล้ว เพราะการซื้อขายทางอินเตอร์เน็ตนั้นมันดีกว่าการไปซื้อที่หน้าร้านที่ต้องเสียเวลามากกว่าและราคาก็อาจจะแพงกว่าด้วย “มาตรฐานใหม่” หรือ “New Normal” ของการซื้อขายสินค้าทางอินเตอร์เน็ตน่าจะกำลังเกิดขึ้นและมันส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของคนและหุ้นของบริษัทธุรกิจต่าง ๆ อย่างลึกซึ้ง มาดูกันว่าโควิด19 น่าจะกำลังสร้าง New Normal กับประเทศไทยทางไหนบ้าง
สิ่งแรกก็คงเป็นเรื่องเดียวกันคือการซื้อขายผ่านทางอินเตอร์เน็ตที่ไทยเองนั้นยังมีไม่มากเมื่อเทียบกับการซื้อขายผ่านหน้าร้านก่อนเกิดโควิด19 การแพร่ระบาดของไวรัสทำให้คนไทยจำนวนมากต้องสั่งสินค้าผ่านอินเตอร์เน็ตหรือช่องทางสื่อสารอื่น ๆ เฉพาะอย่างยิ่งก็คืออาหารพร้อมกินที่ร้านและภัตตาคารต่างก็ปิดไม่ให้ไปนั่งกินที่ร้าน นอกจากนั้น การปิดห้างค้าขายสรรพสินค้าเกือบทั้งหมดก็บังคับให้คนที่ต้องการสินค้าต่างก็ต้องสั่งผ่านอินเตอร์เน็ต นี่ทำให้คนเริ่มคุ้นชินกับการสั่งสินค้าโดยไม่ต้องไปดูที่ร้าน และพวกเขาก็เริ่มรู้สึกว่านี่นอกจากจะเป็นการเลี่ยงการติดเชื้อไวรัสแล้ว มันยังเป็นวิธีการที่ดี สะดวก และถูกกว่าการไปซื้อของที่หน้าร้าน ผลก็คือ หลังจากวิกฤติผ่านไป พวกเขาก็จะยังคงสั่งซื้อของจำนวนมากผ่านอินเตอร์เน็ต ธุรกิจการขายสินค้าผ่านหน้าร้านอาจจะไม่รุ่งเรืองเหมือนเดิมอีกต่อไป
ผลกระทบที่เห็นได้ชัดก็คือ ตัวร้านค้าอาจจะขายของได้น้อยลง ทำเลของร้านอาจจะมีค่าน้อยลง บางแห่งอาจจะไม่คุ้มที่จะมีร้าน ชอปปิ้งมอลอาจจะขายของได้น้อยลงซึ่งจะทำให้ธุรกิจนี้ไม่เป็นธุรกิจที่ดีสุดยอดในประเทศไทยอีกต่อไป ว่าที่จริงในสหรัฐเองนั้น ร้านค้าจำนวนมากรวมถึงร้านระดับครีมจริง ๆ ต่างก็ปิดตัวไปแล้วจำนวนมากจนแทบจะเป็นธุรกิจที่ “กำลังจะตาย” ในประเทศไทยเองนั้น ธุรกิจนี้ยังดีอยู่และมีราคาหุ้นที่แพงมากจนถึงวิกฤติโควิด19 หลังจากวิกฤติครั้งนี้ผมคิดว่าคนไทยก็น่าจะยังเดินห้างอยู่เนื่องจากห้างเป็นที่ ๆ ติดเครื่องปรับอากาศและเป็นแหล่งรวมของความบันเทิงและกิจกรรมที่เราต้องทำหลาย ๆ อย่างโดยเฉพาะในวันหยุด อย่างไรก็ตาม พวกเขาน่าจะซื้อสินค้าน้อยลงและทำให้ช็อปปิ้งมอลมีมูลค่าน้อยลง
New Normal ที่เห็นได้ชัดอีกอย่างหนึ่งน่าจะเป็นเรื่องของสื่อทางอิเล็คโทรนิกส์ที่มาแทนการพบกันต่อหน้า อานิสงค์จากนโยบาย “Social Distance” ที่ทำให้คนไม่มาอยู่ใกล้กันเพื่อเลี่ยงการติดและแพร่เชื้อไวรัส เรื่องที่สำคัญและน่าจะมีผลต่อไปหลังโควิดก็คือ “การทำงานที่บ้าน” ซึ่งแทบทุกบริษัทต่างก็ทำกันในช่วงนี้ การทำงานที่บ้านนั้น ก่อนหน้านี้ก็มักจะพูดกันว่าไม่ได้ผลดีเนื่องจากเหตุผลร้อยแปดซึ่งรวมถึงการที่ไม่สามารถตรวจสอบได้จริงว่าทำงานจริงหรือไม่ ทำเต็มเวลาหรือไม่ รวมถึงความคิดที่ว่าเวลาอยู่ด้วยกันที่ออฟฟิสจะมีการประสานงานหรือระดมสมองได้ดีกว่า ดังนั้น ระบบการทำงานที่บ้านก็เป็นได้แค่งานบางอย่างหรือบางบริษัท แต่เมื่อถูกบังคับว่าแทบทุกฝ่ายงานจะต้องทำงานที่บ้านเป็นการชั่วคราว พวกเขาก็ทำได้ และในระหว่างนั้นก็อาจจะค้นพบความจริงว่า การทำงานที่บ้านนั้นไม่ได้ลดประสิทธิภาพอย่างที่กลัวกัน การประชุมกลุ่มเพื่อระดมสมองก็ทำได้เหมือนเดิมผ่านระบบ Conference ที่มีประสิทธิภาพสูงและใช้งานง่ายมาก โดยรวมแล้วประสิทธิภาพการทำงานไม่ได้ด้อยลง ว่าที่จริงทุกอย่างอาจจะดูดีขึ้นด้วยซ้ำจนอาจจะสามารถลดคนทำงานลงได้ เช่นเดียวกัน พื้นที่ ต้นทุนและค่าใช้จ่ายในสำนักงานก็สามารถลดลงได้มาก ดังนั้น หลังจากวิกฤติผ่านไป บริษัทก็อาจให้พนักงานทำงานที่บ้านต่อไปในหลาย ๆ ส่วนงานก็เป็นไปได้
ผลกระทบก็คือ อสังหาริมทรัพย์ที่เป็นตึกสำนักงานก็คงมีการเติบโตน้อยลง การเดินทางประจำวันก็อาจจะไม่มากเหมือนก่อนวิกฤติโควิด19 อาจจะเป็นไปได้ที่รถยนต์ที่วิ่งตามท้องถนนในช่วงเร่งด่วนอาจจะไม่ติดเท่าเดิมเช่นเดียวกับระบบขนส่งมวลชนเช่นรถลอยฟ้าหรือรถใต้ดินอาจจะไม่โตเหมือนเดิมอีกต่อไป หลายคนอาจจะคิดว่าเป็นไปไม่ได้เพราะคุ้นเคยกับสภาพที่รถติดและการเดินทางที่เบียดเสียดมากในเมืองหลวงในช่วงเวลาเร่งด่วนในช่วงก่อนวิกฤติ แต่ครั้งนี้มันอาจจะไม่เหมือนเดิม โดยเฉพาะถ้าจำนวนคนที่ต้องเดินทางไปทำงานในสำนักงานลดลงไปซัก 10% หลังวิกฤติโควิด19 เป็นต้น
การเรียนของนักเรียนและนักศึกษาในช่วงวิกฤติที่โรงเรียนและมหาวิทยาลัยต่างก็ต้องปิดนั้น ถูกทำผ่านระบบ Conference เช่น ระบบ ซูม และระบบอื่น ๆ นั้น ดูเหมือนว่าจะมีประสิทธิภาพดีมาก นักศึกษาที่เรียนนั้น สามารถทำกิจกรรมแทบทุกอย่างซึ่งรวมถึงการนั่งเรียน สอบถามอาจารย์ ถกเถียงและสัมมนากันสด ๆ ระหว่างคนใน “ห้อง” และเข้า “สอบ” ได้โดยไม่ต้องมาที่มหาวิทยาลัยเลย หลังจากโควิด19 แล้ว ผมคิดว่าความ “เคยชิน” ที่รู้สึกว่าการนั่งเรียนที่บ้านหรือที่อื่นโดยไม่ต้องไปที่มหาวิทยาลัยนั้นสบายและประหยัดกว่ามากทำให้ผมคิดว่าระบบนี้จะอยู่ต่อไปซึ่งจะทำให้ความจำเป็นที่จะต้องมี“สถานที่” เพื่อทำการเรียนและสอนโดยเฉพาะของมหาวิทยาลัยนั้นน้อยลงมาก การปิดตัวหรือลดขนาดลงของมหาวิทยาลัยไทยโดยเฉพาะของเอกชนหลาย ๆ แห่งจะเร็วขึ้นไปอีก
สุดท้ายที่ดูเหมือนว่าจะไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการลงทุนก็คือเรื่องของสังคมและการเมืองที่พัฒนาและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมาตลอดในยุคของการสื่อสารทางอินเตอร์เน็ตและไร้พรมแดน โควิด19 ได้ทำให้ความคิด ความเชื่อ ค่านิยมและอุดมการณ์ต่าง ๆ ของคนเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว การตอบสนองของรัฐ สังคม และประชาชนทำให้เกิดการ “ต่อสู้” ของคนในสังคมและการเมืองอย่างรุนแรงผ่านโลก “ไซเบอร์” ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน ในช่วงเวลานี้และต่อไปจะเกิด “New Normal” ในแง่ที่ว่า “สนามรบหรือสนามของการแข่งขันอยู่ในอินเตอร์เน็ต” และคนที่ต่อสู้หรือแข่งขันนั้นมีอินเตอร์เน็ตแอ็คเค้าท์เป็นอาวุธ
นักการเมืองที่จะมีชื่อเสียงได้รับการยอมรับและเด่นดังในปัจจุบันและในอนาคตก็คือคนที่มีผู้ติดตามและได้รับความเชื่อถือในอินเตอร์เน็ตมากที่สุด ทั้ง ๆ ที่บางทีก็ไม่ได้อยู่ในประเทศด้วยซ้ำ นักแสดงหรือดาราที่จะมีชื่อเสียงสามารถทำเงินได้สูงก็คือคนที่เป็นเน็ตไอดอลที่มีคนติดตามมากและได้รับการยอมรับจากสังคมของคนที่ใช้อินเตอร์เน็ตแทบจะตลอดเวลา ตรงกันข้าม ดาราคนไหนที่ถูก “แซงชั่น” ก็อาจจะ “ดับ” ได้ง่าย ๆ รัฐบาลหรือคนที่มีหน้าที่ในการบริหารงานสาธารณะนั้น ถึงที่สุดแล้วก็จะถูกสังคมไซเบอร์ “ควบคุม” ให้ต้องปฏิบัติตามแทนที่จะเป็นฝ่ายค้าน และในสังคมของอินเตอร์เน็ตนั้น บ่อยครั้งคนที่มีอิทธิพลบางทีก็ไม่จำเป็นต้องมีตัวตน แต่มีอำนาจสูงมากถ้ามีความรู้และข้อมูลนำเสนอให้คนในสังคมเห็นชอบได้ การเข้ามาของ “อำนาจใหม่” ที่ยิ่งใหญ่ของคนในอินเตอร์เน็ตนั้น อาจจะทำให้เกิดการประทะกับ Establishment หรืออำนาจเดิมซึ่งยังอยู่ใน “โลกเก่า” และนี่ก็อาจจะก่อให้เกิดความรุนแรงที่กระทบกับการพัฒนาของประเทศหรือเป็น “Country Risk” หรือ “ความเสี่ยงของประเทศ” ซึ่งจะส่งผลต่อการลงทุนอย่างรุนแรงได้ นี่เป็นสิ่งที่นักลงทุนจำเป็นที่จะต้องรู้ และสถานที่ที่ดีที่สุดในการติดตามพัฒนาการต่าง ๆ ก็คือในทวิตเตอร์ที่เป็นแหล่งที่มี “เสรีภาพ” ในการแสดงความคิดเห็นสูง
ั