เกาหลีกับไทยต่างเคยไปขายแรงงานที่ซาอุฯ แล้วตอนนี้...
ท่านทราบหรือไม่ เกาหลีใต้กับไทยเคยอยู่ในระนาบเดียวกันคือ “ประเทศกำลังพัฒนา” โดยคนจนทั้ง 2 ประเทศเคยไปขายแรงงานที่ซาอุดีอาระเบียเหมือนกัน
แต่เดี๋ยวนี้เกาหลีใต้พัฒนาแล้ว ขณะที่คนไทยกลายเป็นผู้ขายแรงงานในเกาหลีใต้แทนตั้งแต่ปี 2547 หรือราว 16 ปีที่แล้ว
ยิ่งกว่านั้นค่าจ้างเฉลี่ยของประชาชนใน กทม.เดือนละ 23,312 บาท ขณะที่ในกรุงโซลจ้างสูงถึง 75,380 บาท หรือมากกว่า 3 เท่าตัว ส่วนดอกเบี้ยเงินกู้ระยะยาว 20 ปีนั้น ของไทยเฉลี่ยอยู่ที่ 5.81% ในขณะที่ของเกาหลีใต้อยู่ที่ 3.54% แสดงว่าธนาคารไทย “สูบเลือด” จากประชาชนมากกว่าธนาคารในเกาหลี และนี่เองที่ SMEs จึงล้มลุกคลุกคลาน เป็นได้แค่ Start-up แล้วก็ดับไป จะสังเกตได้ว่าดอกเบี้ยเงินฝากของไทยอยู่ที่ 1.29% ส่วนเกาหลีใต้ 1.62%
ในแง่ของอสังหาริมทรัพย์พบว่าค่าเช่าอพาร์ตเมนต์ไทยถูกกว่าเกาหลีใต้ แม้จะถูกกว่ากันไม่มาก แต่ก็เพราะว่าที่เกาหลี (คล้ายญี่ปุ่น) มักมีขนาดห้องเล็กกว่าของไทย แต่ถ้าเทียบเป็นต่อตารางเมตรโดยเฉพาะห้องชุดพักอาศัยจะพบว่าห้องชุดใจกลางเมือง กทม.มีราคาเฉลี่ยตารางเมตรละ 180,739 บาท ส่วนที่กรุงโซล มีราคาสูงถึง 516,434 บาทต่อตารางเมตร ราคาของไทยต่ำกว่าเกาหลีเพียง 1 ใน 3 เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นในกรณีห้องชุดใจกลางเมือง หรือห้องชุดชานเมืองก็ตาม
40 ปีก่อน เกาหลีใต้ก็มีฐานะพอๆ กับไทย แต่เดี๋ยวนี้รวยกว่า 4.5 เท่า ประจักษ์หลักฐานหนึ่งจากภาพยนตร์ชื่อดังของเกาหลี A Taxi Driver เป็นเรื่องการต่อสู้ระหว่างฝ่ายเผด็จและฝ่ายประชาธิปไตยในเกาหลี ฉายเมื่อปี 2560 เป็นหนังสะท้อนการต่อสู้ของนักศึกษา ประชาชน ช่วงเดือน พ.ค.2523 ตัวเอกเป็นคนขับแท็กซี่ เคยไปขายแรงงานที่ประเทศซาอุฯ เมื่อราวปี 2522 เป็นช่วงเดียวกับที่ไทยก็ไปขายแรงงานเช่นกัน จนมีเพลงเกี่ยวกับการขายแรงงานที่ซาอุฯ หลายเพลง
สถานการณ์จากปี 2523-2547 หรือ 24 ปีเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว รัฐบาลเกาหลีใต้เริ่มอนุญาตให้คนงานต่างชาติเข้าไปทำงาน โดยเริ่มมีแรงงานไทยเข้าไปทำงานตั้งแต่นั้นมา และตั้งแต่ปี 2560 โดยในปี 2561 มีคนไทย 168,711 คน เป็นแรงงานถูกกฎหมายเพียง 24,022 คนเท่านั้น นอกนั้นอีก 144,689 คนเป็น “ผีน้อย” โดยส่วนใหญ่ทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมยานยนต์ รองมาภาคการเกษตร ร้านนวด โดยเป็นคนไทยจากภาคอีสานมากสุด รองมาคือภาคเหนือ ภาคตะวันออก ภาคใต้ และภาคกลาง
ในช่วงเกิดโรคระบาดโควิด-19 นี้ ปรากฏว่า “ผีน้อย” จำนวนหนึ่ง “รักตัวกลัวตาย” ไม่กล้าที่จะอยู่ที่เกาหลีอีกต่อไป จึงขอกลับประเทศไทย ก็ปรากฏข่าวมีคนตำหนิเป็นอันมากว่าจะเป็นตัวพาหะพาเชื้อโรคเข้าไทย แต่ในแง่หนึ่งก็น่าเห็นใจเพราะพวกเขา อย่างไรก็ตาม “ผีน้อย” ส่วนใหญ่ถึง 79% ก็ยังอยากทำงานต่อเพื่ออนาคตของครอบครัวของตนเอง จากรายได้ที่งดงามกว่าในไทยนั่นเอง นี่แสดงชัดว่าเกาหลีใต้พัฒนาไปไกลกว่าไทยมาก
ทำไมเกาหลีใต้จึงพัฒนาได้รวดเร็วกว่า สาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งอาจเป็นเพราะการเมือง ที่เขาสามารถโค่นล้ม “ระบอบเผด็จการ” อย่าง ปัก จุง ฮี ก็ถูกลอบสังหาร ประธานาธิบดีชอน ดู ฮวัน ได้ออกแถลงการณ์ขอโทษต่อหน้าสาธารณชนกรณีกวางจู และให้เงินของเขากลับคืนสู่ประเทศในปี 2531 พร้อมด้วยประธานาธิบดีโน แท อู ที่เคยถูกตัดสินประหารชีวิตด้วย ทั้งคู่เคยเป็นอดีตนายทหาร และนับแต่นั้นทหารก็หมดบทบาททางการเมือง
ไทยเองจะเจริญได้ก็ต่อเมื่ออภิสิทธิ์ชนต่างๆ หมดไป สามัญชนมีสิทธิเท่าเทียมตามระบอบประชาธิปไตย ทำให้ทรัพยากรจากภาษีของประชาชนได้รับการใช้สอยเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม แทนที่จะถูกฉ้อราษฎร์บังหลวง เมื่อนั้นประเทศไทย เจริญแน่นอน
สุดท้ายในส่วนที่เกี่ยวกับนโยบายอสังหาริมทรัพย์ก็คือ จีนเป็นผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ต่างชาติรายหลักในเกาหลีใต้ เพราะประเทศนี้มีความมั่นคง น่าอยู่คล้ายญี่ปุ่น โดยสัดส่วนของนักลงทุนจีนเป็น 60% ของนักลงทุนต่างชาติทั้งหมด ไทยก็เป็นที่นิยมของจีนเช่นกัน เพราะราคาห้องชุดถูกกว่ามาก คือมีราคาเพียง 1/3 ของห้องชุดเกาหลีเท่านั้น หากไทยมีเสถียรภาพทางการเมืองเช่นเดียวกับเกาหลีใต้ ก็ยิ่งจะทำให้ต่างชาติมาสนใจซื้ออสังหาริมทรัพย์มากขึ้นด้วย
สู้ๆ ครับประเทศไทยและคนไทย ก่อนที่เวียดนาม ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซียจะแซงเราเช่นที่เกาหลีใต้ มาเลเซีย สิงคโปร์ ไต้หวันเคยแซงเรามาแล้ว และอย่าลืมเมื่อ 100 ปีก่อน ญี่ปุ่นก็พอๆ กับไทย!