การเมือง old normal
ภาพการยกขันหมากของแกนนำพรรคพลังประชารัฐ เมื่อวันจันทร์ ที่ 22 มิ.ย.
ในการทำพิธีกรรมเชิญ บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค ในการประชุมที่จะมีขึ้น วันที่ 27 มิ.ย. โดยยกขบวน ไปถึงมูลนิธิป่ารอยต่อ ที่ตั้งอยู่ในค่ายทหาร เป็นภาพที่ถูกวิพาษ์วิจารณ์ อย่างหนักว่า เป็นการเมือง แบบ old normal หาใช่การเมืองวิถีใหม่ ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประกาศไว้ว่า ต่อไปนี้จะเป็นรัฐบาล new normal เพื่อ “รวมไทยสร้างชาติ” แต่อย่างใด
นายกรัฐมนตรีอาจจะบอกว่าพฤติกรรมของพรรคเป็นเรื่องของพรรคไม่เกี่ยวกับการบริหารรัฐบาล แต่ข้อเท็จจริงคือพรรคพลังประชารัฐเป็นพรรคแกนหลักของรัฐบาล และแกนนำหลายคนเป็นรัฐมนตรีอยู่ในรัฐบาล ดังนั้น พฤติกรรม และภาพลักษณ์ ของพรรคและรัฐบาลจำเป็นต้องไปในแนวทางเดียวกัน มิฉะนั้นคำประกาศของนายกรัฐมนตรีจะไม่ได้รับความเชื่อถือในเชิงปฏิบัติ ที่ถูกวิจารณ์ว่าภาพดังกล่าว เป็นการเมืองแบบ old normal เห็นจะมีอย่างน้อย 3 ประเด็น
หนึ่ง คือการเชื้อเชิญ ทางการเมืองครั้งนี้เกิดขึ้นในพื้นที่ ที่เรียกว่า “ค่ายทหาร” ซึ่งทำให้ถูกวิจารณ์มากว่าพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ไปทำอะไรในพื้นที่ ค่ายทหารดู “ไม่เหมาะสม” เพราะจะถูกครหาได้ว่าเป็นพรรคที่อยู่ใต้ “ท็อปบูท” เฉกเช่นกรณีการจัดตั้งรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แทนรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ในปี 2551
สอง การเลือกหัวหน้าพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตย จะต้องเกิดขึ้นในที่ประชุมใหญ่พรรคการเมือง หาใช่การที่แกนนำพรรคมีมติ กันเองแล้วไปเชิญ บุคคลที่คิดว่าเหมาะสม ขึ้นมาดำรงตำแหน่งได้ โดยไม่เคารพสมาชิก ถ้าเป็นดังภาพและข่าวที่เกิดขึ้นจากคำแถลงของนายวิรัช รัตนเศรษฐ์ การประชุมใหญ่สามัญประจำปีของพรรคพลังประชารัฐ ก็จะเป็นเพียง “พิธีกรรม” ที่กระทำเพื่อให้ครบถ้วนตามกฎหมาย การเลือกหัวหน้าและกรรมการบริหาร มวลสมาชิกของพรรคหาได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจอย่างแท้จริงไม่
สาม แกนนำที่ปรากฏอยู่ในภาพ ล้วนเป็นนักการเมือง “รุ่นเก่า” หามีนักการเมืองที่สังคม เรียกว่า “รุ่นใหม่”ไม่ และเป็นบุคคลที่ล้วนตกเป็นข่าวว่ารวมกลุ่มเพื่อต่อรองทั้งตำแหน่งในพรรคและตำแหน่งรัฐมนตรี ในการนำเสนอเป็นมติพรรคเพื่อส่งให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ปรับ ครม. นี่คือการตกลงปลงใจให้มีการเชิญพล.อ.ประวิตร ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค บนเงื่อนไข “ผลประโยชน์ลงตัว”
บรรยากาศดูเหมือนจะชื่นมื่นเพราะทุกคนในภาพคาดหวังว่าการเปลี่ยนแปลงในพรรคครั้งนี้ เขาจะได้ในสิ่งที่หวัง บางคนหวังจะได้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงใหญ่ขึ้น บางคนหวังว่าจะมีโอกาสสักครั้งในชีวิต ก้าวขึ้นเป็นรัฐมนตรี บางคนหวังว่า จะเป็นผู้คุมการจัดสรรงบ และบางคนมั่นอกมั่นใจว่าจะได้ “ค่าหัวคิว” โดยอาศัยบารมีของ”ลุงป้อม” ที่เขาเรียกว่า “นาย”ทุกคำ
ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ทำตามที่คนเหล่านี้คาดหวัง ซึ่งเป็นเจตนาเบื้องหลังในการสนับสนุน พล.อ.ประวิตร ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค ไม่ต้องพูดถึงยุทธศาสตร์ new normal ที่นายกรัฐมนตรี ให้คำมั่นกับประชาชนผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ เมื่อวันพฤหัสที่18 มิถุนายนที่ผ่านมา เพราะคงเป็นได้ แค่ old normal เท่านั้น !