อันสืบเนื่องมาจากWork from home
โควิด-19 นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในรูปแบบการทำงานทำให้การทำงานจากบ้านหรือWork from home (WfH) กลายเป็นเรื่องปกติในโลกการทำงาน
แต่ขณะเดียวกันWfH ก็ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและส่งผลกระทบทั้งในเชิงบวกและลบในหลายๆด้านที่ใหม่และน่าสนใจ
ประการแรกคือความเสี่ยงจากภัยทางไซเบอร์หรือCybersecurity ในรูปแบบใหม่ทั้งนี้เมื่อพนักงานบริษัททำงานที่บ้านการทำงานผ่านคอมพิวเตอร์ของพนักงานจะไม่ได้อยู่ภายใต้ขอบเขตการป้องกันของบริษัทอีกต่อไปพนักงานอาจจะใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนตัวเข้าสู่ระบบของบริษัท
นอกจากนี้ข้อมูลต่างๆของบริษัทที่ส่งจากการทำงานที่บ้านก็ส่งผ่านWi-Fi ของบ้านซึ่งระบบในการป้องกันตนเองที่ไม่เข้มข้นหรือแม้กระทั่งพาสเวิร์ดอาจจะเป็นคำที่สามารถเดาได้อย่างง่ายนอกจากนี้ยังพบว่าบรรดาผู้ไม่หวังดีต่างๆก็เริ่มหาช่องทางในการเจาะเข้าระบบของบริษัทผ่านโอกาสที่เกิดขึ้นจากการทำงานที่บ้าน
ในต่างประเทศนั้นพบการส่งอีเมลหลอกลวงโดยเป็นอีเมลเชิญพนักงานเข้าร่วมประชุมออนไลน์ของบริษัทซึ่งถ้าพนักงานเผลอกดเข้าไปโดยไม่รู้ตัวก็จะทำให้ผู้ไม่หวังดีสามารถเจาะเข้าเครื่องของพนักงานและเจาะเข้าสู่ระบบบริษัทต่อไปนอกจากนี้ยังมีกลลวงการโทรศัพท์เข้ามายังHelp desk และอ้างว่าเป็นพนักงานบริษัทโดยลืมpassword ในการเข้าสู่ระบบของบริษัทเพื่อสุดท้ายแล้วจะขโมยpassword และเจาะเข้าสู่ระบบของบริษัท
ประเด็นที่สองที่พบคือเมื่อพนักงานหรือผู้บริหารทำงานจากบ้านทำให้การนัดประชุมเป็นไปอย่างง่ายดายขึ้นเนื่องจากไม่ต้องเสียเวลาเดินทางแต่ก็ส่งผลทำให้เกิดการประชุมที่มากขึ้นมีผลวิจัยจากสหรัฐอเมริกาที่พบว่าตั้งแต่เกิดโควิดระยะเวลาในการประชุมโดยเฉลี่ยลดลงร้อยละ20 แต่ขณะเดียวกันกลับมีจำนวนครั้งของการประชุมเพิ่มมากขึ้นร้อยละ13 จากความพร้อมของเทคโนโลยีและความเคยชินต่อการประชุมออนไลน์ทำให้เมื่อมีความต้องการคุยกับผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นหนึ่งต่อหนึ่งหรือเป็นกลุ่มเล็กๆก็จะนัดประชุมผ่านทางZoom ทันทีทั้งๆที่ในอดีตอาจจะเป็นเพียงแค่การยกหูโทรศัพท์
ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจว่าจะได้ยินเสียงผู้บริหารบ่นเรื่องการประชุมที่มีอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวันไม่มีหยุดนั้นคือเสร็จจากประชุมหนึ่งก็ล็อกอินเข้าอีกประชุมหนึ่งได้ทันที่โดยไม่ต้องเดินทางซึ่งถึงแม้การทำงานลักษณะนี้จะทำให้ผู้บริหารและพนักงานสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นแต่ก็เพิ่มความอ่อนล้าเนื่องจากการประชุมมากขึ้น (ฝรั่งเรียกเลยว่าZoom fatigue) ทำให้เริ่มมีหลายๆบริษัทในต่างประเทศที่กำหนดวันที่ไม่มีประชุมขึ้นมาเช่นNo Meeting Fridays หรือยอมให้ประชุมได้แต่ไม่ต้องเปิดกล้องอย่างเช่นno camera meetings Wednesday
ประเด็นสุดท้ายคือการเติบโตของธุรกิจชนิดหนึ่งที่เรียกว่าWork Gyms ที่มีมาระยะหนึ่งแล้วแต่สถานการณ์โควิดและWfH ทำให้ธุรกิจชนิดนี้เติบโตและเป็นที่รู้จักกันมากยิ่งขึ้นโดยการทำงานที่บ้านหรือตามสถานที่ต่างๆนั้นอาจจะทำให้คนขาดวินัยในการทำงานไม่เหมือนกับทำงานอยู่ในที่ทำงานที่ถูกจับจ้องและห้อมล้อมด้วยคนอื่นๆที่ยุ่งกับงานเช่นเดียวกัน
ดังนั้นWork Gyms จึงเป็นระบบที่ให้สมาชิกที่อาจจะกระจายอยู่ทั่วโลกเข้ามาในเวลาช่วงเดียวกันเปิดกล้องให้เห็นซึ่งกันและกันและนั่งทำงานต่อหน้าคนอื่น (ซึ่งเกือบทั้งหมดคือจะไม่รู้จักกัน) โดยมีระยะเวลาในการทำงานที่แน่นอน (เช่น30หรือ50 นาที) จากนั้นให้พักหรือเบรกและกลับมาทำงานใหม่เป็นรอบๆ
Work Gyms ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยสมมติฐานว่าการทำงานที่มีผลิตภาพและต่อเนื่องได้นั้นจะต้องถูกจับตามองโดยผู้อื่นและยิ่งเป็นบุคคลที่ไม่รู้จักมาก่อนยิ่งทำให้ต้องตั้งใจทำงานมากขึ้นเพราะมิฉะนั้นถ้าทำงานคนเดียวโดยไม่มีคนอื่นจับตามองก็อาจจะขาดวินัยและเผลอหยิบมือถือมาเช็คเพียงเมื่อทำงานผ่านไปไม่กี่นาทีซึ่งถ้าสนใจก็ลองเข้าไปหาดูชื่อfocusmate หรือcaveday ดูได้
ตัวอย่างข้างต้นเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดเนื่องมาจากWfH ซึ่งเชื่อว่ากว่ามนุษย์จะกลับไปใช้ชีวิตธรรมดาก่อนยุคโควิดก็อาจจะได้ประสบการเปลี่ยนแปลงในลักษณะต่างๆเหล่านี้ไปเรื่อยๆ