มองปัจจุบัน .. ย้อนดูอดีต (กรณีพระเทวทัต !!)
เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา .. มองดูสังคมยามนี้ที่หนีไม่พ้นวงจรความหายนะด้วย
ความแตกแยกในหมู่ชน จึงให้นึกถึงคำกล่าวด้วยจิตพยาบาทของบุคคลผู้ทรงอิทธิพลคนหนึ่งที่ว่า.. “เมื่อกูอยู่ไม่เป็นสุข .. พวกมึงก็อย่าหวังว่าจะได้อยู่อย่างสงบเลย..”
.. ไม่ว่าเรื่องดังกล่าวจะจริงเท็จอย่างไร.. แต่เมื่อภาพความจริงในสังคมไทยปัจจุบันยังดำเนินไปในวนเวียนของความแตกแยก มุ่งทำร้ายทำลายกัน สาธุชนจึงไม่ควรประมาท ดุจดังเรื่องพระเทวทัตที่ผูกพยาบาทพระพุทธเจ้ามายาวนาน ที่ควรน้อมนำมาพิจารณา ดังมูลเหตุของเรื่องที่ย้อนกลับไปในอดีตชาติอันยาวไกลสมัยเป็นพ่อค้าวาณิชด้วยกัน เมื่อพระเทวทัตที่สมัยนั้นเป็นพ่อค้าวาณิชฝ่ายทุจริต ผิดหวังจากการซื้อถาดทองคำด้วยความละโมบทุจริตของตน จึงโกรธแค้นที่พ่อค้าวาณิชฝ่ายสุจริต ได้แก่ พระพุทธเจ้าในกาลปัจจุบัน ที่ได้ซื้อครอบครองถาดทองคำจากหญิงชราผู้ดีตกยาก .. ตัดหน้าพ่อค้าวาณิชฝ่ายทุจริตไป พ่อค้าดังกล่าวคือพระเทวทัตในกาลต่อมา จึงผูกจิตคิดพยาบาทด้วยการกอบเม็ดทรายขึ้นมาหนึ่งกำมือหว่านลงไปบนพื้นดินแล้วประกาศว่า
“..เราจะจองล้างจองผลาญท่านต่อไป เท่าเมล็ดในกำมืออันไม่มีประมาณนี้..”
จึงได้เห็นหนังชีวิต .. ฉบับมากภพชาตินับไม่ถ้วนของการไล่ล่าพยาบาทจองเวรจองกรรมสืบเนื่องมาจนถึงในชาติสุดท้ายที่บำเพ็ญพระบารมีบรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า.. ดังเรื่องราวในปลายสมัยพุทธกาลประมาณพรรษาที่ ๓๗ เมื่อประทับอยู่ ณ. กรุงสาวัตถี ด้วยจิตริษยาพยาบาทที่สั่งสมมายาวนานของพระเทวทัต ที่คิดมักใหญ่ใฝ่สูง ต้องการขึ้นปกครองสังฆมณฑลในพระพุทธศาสนา จึงได้เข้าเฝ้าพระพุทธองค์ที่เวฬุวันมหาวิหาร เพื่อกราบทูลขออำนาจการปกครองศาสนจักร (สงฆ์) แทนพระองค์ ด้วยคำกล่าวต่อหน้าพระพักตร์ที่ว่า..
“บัดนี้ พระองค์ทรงพระชราแล้ว ล่วงกาลเวลาผ่านไปแล้ว ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงทรงเป็นผู้ขวนขวายน้อย ประกอบแต่ทิฏฐิธรรมสุขวิหารเถิด ขอจงมอบภิกษุสงฆ์แก่ข้าพระพุทธเจ้า ข้าฯ จักปกครองภิกษุสงฆ์เอง...”
พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า.. “แม้แต่พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ เรายังไม่มอบภิกษุสงฆ์ให้เลย ไฉนเราจะพึงมอบให้เธอ ผู้บริโภคปัจจัยเช่นก้อนเขฬะเล่า...”
ด้วยคำกล่าวดังกล่าว ที่นอกจากทรงปฏิเสธแล้วยังทรงตำหนิติเตียนอีกด้วย จึงทำให้พระเทวทัตกระพือจิตพยาบาทขึ้นมาเต็มกำลัง เสมือนกองไฟได้เติมเชื้อเพลิงชั้นเยี่ยม จึงลุกโพลงขึ้นฉับพลันทันใด .. ให้นำไปสู่นานาวิธีการแห่งการคิดเบียดเบียนทำลาย แม้ลอบฆ่าพระพุทธองค์ก็ได้เกิดปรากฏอย่างไม่เกรงกลัวต่อพุทธานุภาพ.. ดังปรากฏการพยายามทำร้ายพระพุทธองค์ถึง ๓ ครั้ง.. แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ จนในที่สุดนำไปสู่การคิดทำลายศาสนจักรให้แตกแยกด้วยการประกาศว่า ตนจะนำคณะฯ แยกทำอุโบสถจากพระผู้มีพระภาคเจ้า ที่เรียกกันว่า การกระทำสังฆเภท โดยนำพระภิกษุบวชใหม่ในสำนักตนที่ยังไม่รู้จักพระธรรมวินัยแท้จริง เดินทางออกจากราชคฤห์ไปสู่คยาสีสะ .. จนเป็นเหตุให้พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ รับพุทธบัญญัติไปนำภิกษุใหม่เหล่านั้นกลับมาก่อนจะถึงความย่อยยับ .. ด้วยเหตุแห่งการเชื่อครูบาอาจารย์ที่เป็นคนพาล...
จากการกระทำของพระเทวทัตในหลายกรรมหลายวาระ ที่ล้วนเป็นอนันตริยกรรมหรือครุกรรมฝ่ายอกุศล สุดท้ายจึงถูกกฎเกณฑ์กรรมประมวลผลให้ต้องเสวยผลในปัจจุบันทันตาเห็น เมื่อถูกธรณีสูบด้วยบาปอกุศลอันเกิดจากความเลวร้ายของพระเทวทัตที่หนักหนานัก จนแม้แผ่นดินที่ทรงคุณรองรับสัตว์โลกยังยากจะทนได้ ให้แยกตัวออก สูบเอาพระเทวทัตตกสู่ขุมนรกอเวจี ปิดฉากชีวิตของสัตว์ผู้มากไปด้วยไฟพยาบาท .. อันเป็นไปตามกฎแห่งกรรมที่ระบุว่า บุคคลผู้ประทุษร้ายต่อบุคคลผู้ไม่ประทุษร้าย ย่อมถึงความพินาศฉิบหาย ด้วยเหตุ ๑๐ ประการเป็นแท้ ไม่ว่าความเสื่อมฉิบหายในร่างกายนี้ด้วยเวทนากล้า อาพาธหนัก จนสรีระแตกสลาย ความเสื่อมสิ้นไปจากทรัพย์ จิตฟุ้งซ่านอย่างหนักจนผิดเพี้ยนไปจากปกติ การย่อยยับแห่งเครือญาติ ความเสียหายแห่งโภคะ เป็นต้น..
จึงควรอย่างยิ่งที่เราท่านทั้งหลายจะได้ไม่ประมาทในกรรม.. ไม่ปรามาสโดยธรรม.. พึงละความชั่วทั้งปวงก่อนจะสาย อย่าได้สายแล้วที่จะละ.. โดยเฉพาะในเด็ก ๆ เยาวชนทั้งหลาย ที่พึงควรตระหนักรู้ให้มากในกฎแห่งกรรม .. พึงสำคัญในการคบบัณฑิตว่าเป็นสิ่งประเสริฐสุด หากคบค้ากับครูอาจารย์ที่เป็นพาลชน ดุจพระเจ้าอชาตศัตรูคบพระเทวทัตเป็นอาจารย์ ที่สุดจึงนำไปสู่ความหายนะทั้งลูกศิษย์-อาจารย์.. จึงไม่ควรประมาทในอำนาจธรรม .. ที่สร้างกฎแห่งกรรมขึ้นมาควบคุมสัตว์ทั้งหลายให้เป็นไปในกระแสกรรม.. จึงไม่ยากเลยที่จะพิสูจน์กฎแห่งกรรมว่าเป็นจริงหรือไม่.. เพียงแค่ถ่มน้ำลายขึ้นรดฟ้า .. แล้วจะรู้ในทันใด !!
เจริญพร