ชะตากรรมของ Trump
เลือกตั้งของสหรัฐใกล้เข้ามาทุกที ห่างจากวันดวล 3 พ.ย.2020 เพียงไม่ถึง 30 วัน
ครั้งนี้ว่ากันว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งอาจสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตของการเป็นประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีอายุแก่กว่ากรุงรัตนโกสินทร์เพียง 6 ปี ลองมาดูกันว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น
คู่แข่งจากพรรคเดโมแครต คือ Joe Biden (ไบเดนเป็นอดีตรองประธานาธิบดีของประธานาธิบดี Obama อยู่ 8 ปี ระหว่างปี 2008-2016) กับประธานาธิบดี Donald Trump ซึ่งเป็นประธานาธิบดีมาได้สมัยเดียว (2016-2020) และมีสิทธิเป็นได้อย่างต่อเนื่องอีก 1 สมัย (2020-2024)
โลกรู้จัก Trump เป็นอย่างดี เวลามีใครพูดถึงเขาจะต้องมีคนยิ้มหัวเราะทุกครั้งเสมอไป เพราะเขามีบุคลิกที่ผิดไปจากมาตรฐานของการเป็นผู้นำประเทศระดับโลก อย่าว่าแต่ของสหรัฐเลย สิ่งที่เขาชอบที่สุดก็คือการชื่นชมอย่างสุดๆ จากคนรอบข้าง ตัดสินใจตามใจตนเองอย่างไม่สนใจหลักฐานและความเป็นเหตุเป็นผล วันนี้พูดอย่าง มะรืนนี้พูดอีกอย่างถึงแม้จะเป็นสิ่งที่เป็นเท็จก็ตาม สื่อนับการโกหกได้ 20,000 กว่าครั้งตลอดเวลา 3.5 ปี ที่เขาเป็นประธานาธิบดี
Trump เป็นคนที่มีปัญหาในด้านบุคลิกภาพและการมีคุณค่าของความเป็นมนุษย์ การกระทำหลายอย่างล้วนชี้ให้เห็นว่าเป็นไปเพื่อประโยชน์ของตัวเขาทั้งสิ้น ชีวิตคนอื่นล้วนเป็นเรื่องรอง Mary Trump หลานสาวซึ่งเขียนหนังสือเปิดเผยชีวิตของครอบครัว ตลอดจนวิเคราะห์บุคลิกภาพของอาได้อย่างน่าสนใจ เพราะเธอเป็นนักจิตวิทยาจบปริญญาเอกทางด้านนี้โดยตรง
Mary บอกว่า Trump รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูกแต่ถ้าหากเขาเลือกสิ่งที่ผิดเมื่อใด สิ่งนั้นก็จะกลายเป็นสิ่งถูกสำหรับเขาทันที เหตุที่เขามีบุคลิกบกพร่องหลายอย่างก็เป็นเพราะปู่เธอมีบทบาทสำคัญ ครอบครัว Trump อพยพจากเยอรมนี พ่อเขาเกิดในสหรัฐ(บางทีเขาก็บอกว่าเกิดในเยอรมนี และก่อนหน้านี้บอกว่าอพยพจาก Scandinavia) สร้างตัวขึ้นมาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในนิวยอร์กจนร่ำรวย แม่ของ Donald Trump มีลูก 5 คน Donald เป็นคนที่สี่ แม่เขาเจ็บกระเสาะกระแสะ ตลอดเวลาที่เขาเติบโตขึ้น พ่อก็แทบไม่อยู่บ้านเพราะทำงานหนัก เขาจึงเติบโตโดยไม่มีใครดูแลอบรมอย่างแท้จริง
Donald Trump ไม่เคยเอ่ยถึงแม่เขาเลย มีแต่ชื่นชมพ่อซึ่งเลือกเขาเป็นทายาทธุรกิจ เมื่อเป็นประธานาธิบดีแบบสุดฟลุกก็มีนิสัยเหมือนเดิมคือเอาแต่ใจตัวเอง ชอบคุยโม้โอ้อวด (“ผมรู้เรื่องเทคโนโลยีดีกว่าคนทั้งโลก” “ผลงานของผม 3 ปี โดดเด่นกว่าประธานาธิบดีทั้งหมดที่เคยมีมาของสหรัฐ หรืออาจรวมทั้งโลกด้วยซ้ำ” “ผมเป็นคน genius อย่างหลายคนเทียบได้ยาก” “ผมเป็นอภิมหาเศรษฐีที่รวยมาก และรวยจริงๆ") ทำงานไม่เป็นระบบ วันนี้เอาอย่างหนึ่งพรุ่งนี้เปลี่ยนใจเอาอีกอย่าง มีสมาธิสั้นเวลาใครนำเสนออะไรไม่ว่าจะซับซ้อนอย่างไรก็ให้ใช้สไลด์ไม่เกิน 2 แผ่น และพูดสั้นๆ เขาอ่านหนังสือน้อยมาก ขาดความรู้ด้านประวัติศาสตร์ ปรัชญา การเมืองการปกครอง เศรษฐศาสตร์ โดยเฉพาะประวัติศาสตร์การเมืองอเมริกันอย่างร้ายแรง
คนในวอชิงตันขนานนาม White House ว่าเป็น “adult daycare center” คือต้องเอาใจ พูดให้ถูกเรื่อง ชื่นชมประธานาธิบดีเหมือนเด็กๆ เพื่อให้ทำสิ่งที่ควรทำคล้ายที่ทำใน baby daycare center พฤติกรรมของ Trump เป็นที่ปวดหัวแก่คนรอบข้างเป็นอันมาก คนเก่งที่ทนไม่ได้ก็ลาออกไปกันเป็นจำนวนมาก หลายตำแหน่งก็ว่างเป็นเวลานานเพราะเขาไม่สนใจ ทูตสหรัฐประจำประเทศต่างๆ จำนวนมากว่างอยู่หลายปี (ประเทศไทยก็เช่นเดียวกัน) จนงานติดขัดเป็นอันมาก
Trump ต้องการให้สหรัฐเป็น first หรือ great again (คำขวัญเก่าที่ใช้กันมาหลายยุคสมัยตั้งแต่ 1940) แต่ปรากฏว่า กลายเป็น first ในด้านลบ เช่น จัดการเรื่องโควิด-19 เลวร้ายมากจนคนอเมริกันติดเชื้อและตายอันดับหนึ่งของโลก (คนอเมริกันมีสัดส่วน 4% ของประชากรในโลก แต่ตายด้วยโควิด 20% ของคนตายทั้งหมด) ทำให้คนอเมริกันแตกแยกยิ่งขึ้น สนับสนุนความเกลียดชังระหว่างสีผิว สร้างความเชื่อและสนับสนุนทฤษฎีสมคบประหลาดๆ ไม่เชื่อเรื่อง Climate Change ไม่เชื่อวิทยาศาสตร์ในเรื่องโรคระบาด ฯลฯ
เหตุที่ Trump จงใจสร้างความหวาดกลัวและแตกแยก ก็เพราะเป็นโอกาสในการสร้างฐานเสียง ซึ่งส่วนใหญ่คือคนผิวขาวที่เรียนมาน้อย อยู่ในชนบท อนุรักษนิยม ชาตินิยม ฯลฯ Trump มีฐานที่แน่นอยู่ประมาณไม่เกิน 37% ของคนอเมริกัน
ในการดีเบทครั้งแรกเมื่อ 29 ก.ย. ใครดูก็จะสลดใจพฤติกรรมของประธานาธิบดีอเมริกันเป็นอันมาก กล่าวคือ Trump พูดแทรก 73 ครั้งขณะที่ Biden และผู้ดำเนินรายการพูด ไม่เคารพกติกาเวลา อยากจะพูดอะไรก็จะพูดจนคนดูเอือม พูดสิ่งที่เป็นเท็จ เกินความเป็นจริง ก้าวร้าว ฯลฯ
เหตุที่ Trump ประพฤติเยี่ยงนี้มาจากกลยุทธ์ที่ต้องการสร้างความปั่นป่วน ยั่วเย้าให้ Biden โกรธ จนพูดหรือทำอะไรที่มันไม่เข้าท่ามากจนผู้ที่คิดจะลงคะแนนให้เขาเปลี่ยนใจ อีกทั้งต้องการทำให้เห็นว่ากระบวนการประชาธิปไตยที่ผ่านการเลือกตั้งครั้งนี้มันแย่ มีปัญหาจนประชาชนตั้งข้อสงสัยซึ่งจะเข้าล็อกของเขาที่จะทำลายการเลือกตั้งครั้งนี้ เพราะรู้ดีว่าคะแนนตาม Biden อยู่มากหากปล่อยไว้ตามปกติก็แพ้แน่นอน
Trump และพวกโจมตีเริ่มโจมตีว่าเลือกตั้งครั้งนี้สกปรก มีการโกงเลือกตั้งกันมโหฬารจากการลงคะแนนทางไปรษณีย์ (ไม่มีหลักฐานมาหลายสิบปีแล้วว่าในสหรัฐมีการโกงเลือกตั้ง) พวกเขาเตรียมการฟ้องศาล ท้าทายผลการลงคะแนนเลือกตั้งไปทั่วเพื่อให้มันปั่นป่วน จนผลการเลือกตั้งอาจไปตกอยู่ที่ ศาลสูงเหมือนครั้งที่ Bush แข่งกับ Al Gore ในปี 2000 และ Bush ชนะไปด้วยคะแนนฉิวเฉียด
Trump รีบผลักดันการแต่งตั้งผู้พิพากษาศาลสูงอย่างรวดเร็วผิดปกติเพื่อเตรียมการนี้ (เรื่องนี้ Trump เป็นคนบอกเอง) ฟังดูแล้วเลวร้ายเหมือนพล็อตของซีรีส์ House of Card ที่คนดูเห็นว่าเวอร์ แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าเป็นไปได้ถ้ามีคนจิตบกพร่องเป็นประธานาธิบดีที่ต้องเอาชนะให้ได้ เพราะรู้ดีว่าถ้าหลุดออกไปจะมีคดีที่รออยู่หลายคดีทั้งตัวเขาเอง ครอบครัวและพรรคพวกอาจถึงติดคุกได้ รวมทั้งต้องจ่ายเงินภาษีที่ติดค้างอยู่ รวมหนี้ส่วนตัวกว่า 400 ล้านดอลลาร์หรือกว่านั้น (คราวนี้ชาวโลกรู้แล้วว่าไม่ได้รวยจริงซึ่งเขารับไม่ได้)
เหลือ 30 วันก่อนเลือกตั้ง Trump มีคะแนนตามอยู่ 7-8 เปอร์เซ็นต์ในระดับชาติ ซึ่งถือว่าผิดปกติและมีโอกาสตีตื้นคะแนนขึ้นมาได้ยาก ไม่มีประธานาธิบดีคนใดที่ลงแข่งขันเทอมสองและมีคะแนนตามหลังที่สูงเช่นนี้ เมื่อหันดูรัฐสำคัญที่เป็นตัวตัดสิน (swing states) เช่น Wisconsin (ตามอยู่ 11.5%) Pennsylvania (ตามอยู่ 30.8%) Michigan (ตามอยู่ 9,8%) Florida (ตามอยู่ 11.2%) North Carolina (ตามอยู่ 3.9%) ในภาพรวม Biden มีความเป็นไปได้ที่จะชนะเลือกตั้งถึง 80%
ล่าสุด Trump ยังติดพิษโควิดที่ท้าทายไม่ใส่หน้ากากมานานจนลงหาคะแนนเสียงไม่ได้อย่างน้อยก็สองอาทิตย์จนน่าจะแพ้หลุดลุ่ย การเมืองและเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศ ตลอดจนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศปั่นป่วนเวียนหัวกันทั้งโลก เพราะเขานั้นน่าจะดีขึ้นจากความชัดเจนของนโยบาย ตลอดจนท่าทีของสหรัฐ
น่าเสียดายถ้า Trump แพ้ เพราะเราจะขาดเรื่องหัวเราะประจำวันไป