ยีนมนุษย์โบราณ Neanderthal กับโควิด
โควิด-19 สร้างความฉงนให้ชาวโลก ทำไมบางคนติดเชื้อแต่ไม่มีอาการ บางคนต้องเข้าโรงพยาบาล บางคนต้องนอนไอซียู เสียชีวิตไปก็มาก ไม่เป็นอะไรเลยก็มี
เพียง 1 ปี ที่ระบาดนักวิชาการก็ได้มาหลายคำอธิบาย เช่น ภาวะสูงอายุ สุขภาวะที่เป็นอยู่ (โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ) ความแข็งแรงของสุขภาพโดยทั่วไป ฯลฯ ที่น่าตื่นเต้นก็คือ ยีนที่สืบทอดมาจากมนุษย์โบราณ(archaic human) พันธุ์หนึ่งคือ Neanderthal ที่สูญพันธุ์ไปเมื่อ 40,000 ปีก่อนให้คำตอบบางส่วน
ขอลำดับความเป็นมาของ Neanderthal ดังนี้
(1) โลกของเรามีอายุ 4,500 ล้านปี
(2) เผ่าพันธุ์มนุษย์กับลิงชิมแปนซี แยกขาดจากกันเมื่อ 6 ล้านปีก่อน
(3) เมื่อ 2-5 ล้านปีก่อนได้เกิดการพัฒนาgenus (สกุล) Homo (archaic human )ขึ้นคือกลุ่มที่มีลักษณะและหน้าตาคล้ายมนุษย์ขึ้นในอาฟริกาและต่อมาใน Eurasia (อาฟกานิสถาน อาร์มิเนีย เบลาลุส จอร์เจีย ฯลฯ) และตะวันออกกลาง (กลุ่มอาหรับ)
(4) Homo sapiens ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ของเราเริ่มปรากฏตัวเมื่อ 150,000-200,000 ปีก่อนในอาฟริกาโดยมีหน้าตาและร่างกายเหมือนมนุษย์ในปัจจุบัน
สกุล Homo มีด้วยกันหลายเผ่าพันธุ์ เช่น Homo rudolfensis / Homo soloensis / Homo floresiensis / Homo erectus / Homo neanderthalensis (เรียกสั้น ๆ ว่า Neanderthal ) / Homo sapiens ฯลฯ สกุลนี้สูญพันธุ์ไปจนหมดเหลือแต่เผ่าพันธุ์ของเรา
Neanderthal สูญพันธุ์เมื่อ 40,000 ปีก่อน และสุดท้ายคือ Homo floresiensis เมื่อ 13,000 ปีก่อน Homo sapiens ได้กระจายไปทวีปอื่น ๆ ในช่วงเวลา 70,000 ปีที่ผ่านมา และเมื่อ 12,000 ปีก่อนก็เริ่มรู้จักเอาพืชและสัตว์ป่ามาใช้งาน และจุดเปลี่ยนของการครองโลกของเผ่าพันธุ์เราก็เริ่มขึ้นอย่างจริงจัง
Homo sapiens และ Neanderthal มีการผสมข้ามพันธุ์กันจนมีการพบว่า 2% ของ DNA ของคนที่อยู่อาศัยในยุโรปและเอเชียปัจจุบันมีที่มาจาก Neanderthal
DNA ของมนุษย์ (Homo sapiens) ในแต่ละเซลล์ประกอบด้วย 46 โครโมโซม (2 คู่ของโครโมโซม23 ตัว) แต่ละโครโมโซมมียีนอยู่นับเป็นพัน ๆ และเมื่อรวมกันทั้งหมดแล้วมีรวมประมาณ 30,000 ยีน ซึ่งบรรจุข้อมูลทั้งหมดรวมกันประมาณ 3 พันล้านข้อมูลบน DNA ซึ่งมีความยาวประมาณ 1.3 เมตร
DNA เปรียบเสมือนคำสั่งให้ร่างกายทำงาน ยีนแต่ละตัวบนแต่ละโครโมโซมมีหน้าที่เฉพาะตัว ปัจจุบันมนุษย์สามารถทำแผนที่ DNA ได้ในระดับหนึ่ง กล่าวคือพอรู้ว่ายีนแต่ละตัวที่ปรากฏบนโครโมโซมตัวใดมีหน้าที่อย่างไร
สิ่งน่าตื่นเต้นในเรื่องโควิด19 ที่ค้นพบเกี่ยวกับยีนก็คือยีน Neanderthal บางตัวที่มนุษย์บางคนมีนั้นทำให้มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในการมีอาการรุนแรงหากเกิดติดเชื้อโควิด และล่าสุดพบยีนอีกตัวของNeanderthal ที่มีผลในทางตรงกันข้าม กล่าวคือทำให้เกิดการคุ้มครองไม่ให้มีอาการรุนแรง
หากบางคนโชคร้ายมียีนชนิดแรก 2 ตัวก็จะมีความเสี่ยงยิ่งขึ้นอีกหนึ่งเท่าตัว นักวิจัยพบว่าผู้มีเชื้อสายอินเดียนใต้ (อินเดีย บังคลาเทศ ศรีลังกา ปากีสถาน) ครึ่งหนึ่งมี “ยีนโชคร้าย” ตัวนี้อยู่(พบใน 63% ของชาวบังคลาเทศ) สำหรับคนยุโรปนั้นพบใน 16% ของประชากร แทบไม่พบเลยในประชากรแถบเอเซียตะวันออก (จีน เกาหลี ญี่ปุ่น) และไม่พบเลยในประชากรในทวีปอาฟริกา(Neanderthal ไม่เคยอยู่อาศัยในอาฟริกา)
อย่างไรก็ดีในการศึกษาล่าสุดจากทีมวิจัยเดียวกันพบว่ามี “ยีนโชคดี"จาก Neanderthalใน DNA ของมนุษย์ด้วย หากใครมีหนึ่งตัวก็ลดความเสี่ยงที่จะต้องนอนไอซียูไป 22% นักวิจัยเชื่อว่ามนุษย์ประมาณครึ่งโลกที่อยู่นอกทวีปอาฟริกามียีนตัวนี้
ไม่น่าเชื่อว่าพันธุกรรมจากมนุษย์โบราณ ที่สูญพันธุ์ไป 40,000 กว่าปีสามารถมีอิทธิพลต่อความเป็นความตายของคนในปัจจุบันเมื่อติดเชื้อโควิด เผ่าพันธุ์มนุษย์ของเรา (sapiens แปลว่า ฉลาด) อพยพออกมาจากอาฟริกาในบริเวณประเทศเอธิโอเปียปัจจุบันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ และเดินทางไปทั่ว
คาดว่าพบกับ Neanderthal ซึ่งอยู่อาศัยในบริเวณตะวันออกกลาง (ประเทศอิสราเอล อิรัก ซีเรีย เลบานอน บริเวณปาเลสไตน์ในปัจจุบัน) เมื่อประมาณ 60,000 ปีก่อน และมีลูกด้วยกัน (ไม่รู้ว่ามีอุปรรคของชีวิตรักมากไหม) เมื่อ Homo sapiens เดินทางจากตะวันออกกลางกระจายไปทั่วโลกจึงนำยีนของ Neanderthal ติดตัวไปด้วยจนมีอยู่ 2% ใน DNA ของมนุษย์ปัจจุบัน
แน่นอนว่ายีนจาก Neanderthal มิใช่ปัจจัยเดียวที่อธิบายความแตกต่างระหว่างการมีอาการเจ็บป่วยบ้าง (81%) การมีอาการหนัก (14%) และการมีอาการหนักมาก (5%) ของมนุษย์เมื่อ ติดเชื้อ แต่เป็นข้อมูลที่มีประโยชน์สำหรับการเข้าใจปฏิสัมพันธ์ระหว่างเชื้อ SARS-CoV-2 กับร่างกายของเราเพื่อการค้นหายารักษาเพื่อการพัฒนาวัคซีน เพื่อการดูแลรักษาพยาบาลตลอดจนให้คำแนะนำแก่ผู้มีความเสี่ยงสูง ฯลฯ
งานวิจัยหลายชิ้นพบว่าในเรื่องการตายจาก โควิด-19 ซึ่งอยู่ในระดับประมาณ 2% นั้น comorbidities หรือโรคป่วยไข้อื่น ๆ เช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคเบาหวานชนิด 2 (มิได้เกิดจากกรรมพันธุ์) ฯลฯ เป็นปัจจัยประกอบโดยปัจจัยที่สำคัญมากคืออายุ (จาก The Economist, March 13th 2021)
สำหรับผู้สูงอายุที่สงสัยว่าอาจมี “ยีนโชคร้าย” และมีอาการป่วยไข้อื่น ๆ ประกอบพึงระวังเป็นพิเศษ การได้รับวัคซีนเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งแต่ก็ยังต้องใส่หน้ากากอนามัย-รักษาระยะห่าง-ล้างมือบ่อยอยู่ (บัดนี้ได้กลายเป็นคำแนะนำสากลไปแล้ว)เพื่อลดความเสี่ยงซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการดำรงชีวิตที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เลย การจัดการความเสี่ยงเป็นเรื่องของสติ ศาสตร์และและศิลป์ที่ต้องฝึกฝนตัวเองอยู่เสมอ.