ตรวจแถวลงทุน หุ้นไทยเอาไงดี

ตรวจแถวลงทุน หุ้นไทยเอาไงดี

โควิด-19รอบ 3 ของไทยที่ยืดเยื้อมานาน และการยังรอวัคซีนล็อตใหญ่ของไทย 

เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้หุ้นไทยต้องเคลื่อนไหวใต้ระดับ 1,600 จุด มาเกือบ 2 เดือน โดยมีช่วงเหวี่ยงถลาลงมาแถว 1,540 -1,550 จุด เป็นครั้งที่ และเป็นการทดสอบน้ำใจของเส้นค่าเฉลี่ย 75 วัน อันเป็นอาวุธมาตรฐานชิ้นหนึ่งของนักเทรดที่ใช้เส้นกราฟเป็นองค์ประกอบการกะเก็งจังหวะเข้าหรือออก  

นอกจากปัจจัยโควิด-19และวัคซีนข้างต้นแล้ว กระแสความกังวลตัวเลขเงินเฟ้อของโลกที่เริ่มกลับมาจุดสนใจอยู่ที่ สหรัฐอเมริกา เปิดเผยตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนเมษายน ดีดตัวขึ้น 0.8% เมื่อเทียบรายเดือน และเมื่อเทียบรายปี ดัชนี CPI พุ่งขึ้น 4.2% ซึ่งทั้ง 2 แบบ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ค่อนข้างมาก     

นักลงทุนจึงเริ่มกังวลว่า เฟดจะเบาไม้เบามือในการผ่อนคลายนโยบายการเงิน โดยจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาด รวมทั้งลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ(QE) เพื่อสกัดเงินเฟ้อ จากปัจจุบันที่เฟดทำ QE อย่างน้อย 1.แสนล้านดอลลาร์ต่อเดือน 

ผมเองอาจจะไม่ได้กังวลตัวเลขเงินเฟ้อดังกล่าวมากนัก เพราะส่วนหนึ่ง น่าจะเป็นผลจากราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ช่วงเดือนเมษายนปีนี้ ได้ฟื้นตัวขึ้นมามาก เมื่อเทียบกับฐานปีก่อน ซึ่งมีจุดต่ำสุดอยู่แถวเดือนเมษายน 2563 เมื่อรอไปสัก 2-3 เดือน ฐานเปรียบเทียบจะเลื่อนต่อไป ตัวเลข CPI ก็น่าจะเบาลง 

อย่างไรก็ตาม หากไปพิจารณาในประเด็นแวดล้อมอื่นๆ ก็มีความเหมาะสมหลายประการที่ ในไม่เกินปลายปีนี้ ที่เฟดจะถึงเวลาเบาไม้เบามือมาตรการผ่อนคลายเสียที 

ปัจจุบันนี้ สหรัฐฯสามารถลดยอดผู้ติดเชื้อโควิดรายวันลงมาได้อย่างมาก และสามารถฟื้นเศรษฐกิจขึ้นมาได้อย่างชัดเจน จนล่าสุด คาดกันว่า ปี 2564 GDP ของสหรัฐฯจะเติบโตถึง 6.5% เป็นเอาคืนทบต้นทบดอก จากการติดลบ 3.5% ในปี 2563 ขณะที่ ดัชนีดาวโจนส์ และ S&P500 รวมถึง ดัชนี Nasdaq ซึ่งเป็นตัวสะท้อนความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจได้เช่นกัน ก็ทะยานสูงไปกว่าระดับต้นปี 2563 ก่อนถูกโควิดเข้าถล่มด้วยซ้ำไป 

ดูเเล้วเหลือเพียงอัตราดอกเบี้ยเฟดเท่านั้น ที่ลดยังไม่ได้ขยับกลับไปเเม้แต่สเต็ปเดียว สรุปแล้วประเด็นเฟด จะเป็นปัจจัยต้านการขึ้นของราคาหุ้นบ้างเป็นระยะเมื่อนักลงทุนนึกขึ้นได้  

กลับมาขยายภาพที่ประเทศไทย การที่เรายังคงต้องรับมือแบบมาราธอนกับโควิดอีกสักระยะ และยังรอวันเวลามีวัคซีนล็อตที่ใหญ่พอ ทำให้ครั้งนี้ SET Index ไม่ได้รับน้ำใจพยุงจากเส้น 75 วันอีก Index วานนี้จึงร่วงเร็วไปทดสอบระดับใกล้ 1,500 จุด อันเป็นจุดนัดพบที่เรารอกันมาตั้งแต่คอลัมน์ฉบับ เม.ย.

ซึ่งเรายังพอมีปัจจัยบวกที่หลบไปชั่วขณะ จากการที่อีกไม่นาน ไทยจะเริ่มฉีดวัคซีนล็อตใหญ่ๆ และปัจจัยผลดำเนินงานไตรมาสที่มียอดรวมผลกำไรโตกว่าไตรมาส1 ของปีก่อนมาก  

หากใช้ ตัวเลขคาดการณ์กำไรต่อหุ้นของตลาด ที่คาดการณ์ยกระดับใหม่ขึ้นเป็น 80 บาทต่อหุ้น ณ ระดับIndex 1,500 จุด เทียบเป็น P/E 21F เท่ากับ 18.75 เท่า ซึ่งใกล้กับค่าเฉลี่ย(รายสัปดาห์) ช่วง 10 ปีที่ 18.5 เท่า เป็นราคาที่ยอมรับได้ และหากร่วงต่ำไปถึง1,450 จุด ระดับ P/E 21F จะเท่ากับ 18.10 เท่า 

  • หากท่านยังมีพอร์ตหุ้นไทยน้อย น่าจะเริ่มทยอยเก็บหุ้นดีที่ได้ประกาศผลดำเนินงานไตรมาส 1 ที่ดี ผมอิงแนวที่เคยแนะนำให้แบ่งพอร์ตในหุ้นไทยที่ 20% และให้เพิ่มเป็น 25% ที่ 1,500จุด และครั้งนี้ ขอเพิ่มเติมที่ระดับ 1,450 ถือหุ้นไทยเป็น 30% 
  • ส่วนกองทุนหุ้นต่างประเทศที่แนะนำไว้ที่ 15% นั้น ช่วงที่หุ้นโลกกลัวเงินเฟ้อแล้วปรับลง น่าจะเพิ่มน้ำหนักเป็น 20% โดยต้องช้อนหุ้นตอนตกของตลาดสหรัฐด้วย เพราะไบเดนผลงานดีเกินที่ผมคิด
  • ทองคำที่เดิมแนะนำไว้ที่ 15% หากราคาไทยแตะ 27,200 บาทและมีกำไร แนะทำกำไรออกเหลือ 12%
  • กองทุนตราสารหนี้ชั้นดีเดิมมี 50% ก็จะลดไปถือหุ้นไทยและหุ้นต่างประเทศตามเกณฑ์ข้างต้นจะเหลือ 40%
  • สำหรับหุ้นไทย ด้วยพื้นที่คอลัมน์น้อย ขอแนะโดยย่อให้ ดูหุ้นที่ประกาศผลดำเนินงานที่ดี และมีบทวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน ในหมวด พลังงาน ธนาคารเอกชน วัสดุก่อสร้าง ชิ้นส่วนยานยนต์ถุงมือยาง เป็นต้น รายละเอียดที่ค้นคว้าได้จาก Link IAA Consensus ที่สมาคมนักวิเคราะห์ฯโดยการสนับสนุนของตลาดหลักทรัพย์ฯจัดไว้ให้ได้ใช้โดยไม่เก็บค่าใช้จ่ายครับ https://www.settrade.com/AnalystConsensus/C04 _10_stock_saa_p1.jsp?txtSymbol=PTT&ssoPageId=9&selectPage=10 

ขอให้โชคดีครับ