ลำบากจากการ เรียนออนไลน์ ที่ยาวนาน
โรงเรียนและมหาวิทยาลัยเปิดสอนกันไม่ได้ เพราะโรคระบาดไม่มีท่าทีจะทุเลาลง เลยสอนออนไลน์กันไปหมด และยังมีท่าทางจะเป็นการ เรียนออนไลน์ ที่ยาวนาน
ลำบากแรกคือเรื่องอินเทอร์เน็ต และอุปกรณ์ดิจิทัล พ่อแม่ต้องใช้ทำงานจากบ้าน ลูกก็ต้องใช้เล่าเรียน อุปสรรคสำคัญคืออุปกรณ์ดิจิทัลที่จะใช้เล่าเรียน จะเรียนกันให้ได้ผลจริงจัง ถ้ามีแค่โน๊ตบุคจอสิบสามนิ้วเพียงตัวเดียว ต้องใช้ทั้งฟังครูสอน ทั้งดูเอกสารประกอบการเรียน ก็ไม่ง่ายแล้ว ถ้าเป็นสมาร์ทโฟนจอเล็ก ๆยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ อย่างน้อย ๆคงต้องมีทั้งสองอย่างใช้คู่กันไป ถ้ายังมีสตางค์ควรไปหาจอใหญ่ ๆมาเสริมในการเล่าเรียน ไม่งั้นเรียนไปไม่นาน มีปัญหาแน่ ๆทั้งด้านสุขภาพ และผลการเรียนรู้ ลองนึกเปรียบเทียบกับการคิดเลขด้วยกระดาษแผ่นเล็ก ๆจะรู้ว่าลำบากแค่ไหน อินเทอร์เน็ตที่เพียงพอสำหรับลูกเรียน พ่อแม่ทำงาน ถ้าเป็นไฟเบอร์ถึงบ้านใช้ได้ไม่อั้นเดือนหนึ่งก็ร่วมครึ่งพัน แต่ถ้าเป็นห้าจีสี่จีเดือนหนึ่งพันกว่าบาท ยังไม่เห็นความพยายามของรัฐในการช่วยทุเลาความลำบากด้านอินเทอร์เน็ตที่เป็นรูปธรรม
ในระดับโรงเรียนพบเจอการยอมจำนนกับข้อจำกัดด้านอินเทอร์เน็ตและอุปกรณ์ดิจิทัล แล้วไปจัดรูปแบบการเรียนที่บ้านที่ใช้ดิจิทัลน้อยลง ให้ดูโทรทัศน์บ้าง ให้ทำงานที่ครูมอบหมายทดแทน ซึ่งกลายเป็นความลำบากในการเรียนให้รู้เรื่อง เพราะสงสัยอะไรก็ถามทันทีไม่ได้ ในระดับมหาวิทยาลัยมีสองสามแห่งจัดให้นักศึกษาหยิบยืมอุปกรณ์ดิจิทัลมาใช้ในการเรียน มีการสนับสนุนอินเทอร์เน็ตให้ใช้จากบ้าน ในขณะที่บางแห่งไปสร้างความลำบากในการสอบเพิ่มขึ้น ซึ่งการสอบออนไลน์นั้นไม่ได้มีอะไรซับซ้อน แต่ที่ซับซ้อนคือกลัวว่าจะมีการโกงการสอบ หลายมหาวิทยาลัยกำหนดให้นักศึกษาต้องมีกล้องเปิดให้เห็นว่าฉันสอบอยู่คนเดียว ที่รวยหน่อยก็กำหนดให้สอบจากไอแพดที่มหาวิทยาลัยแจกให้ตอนสมัครเข้าเรียนเท่านั้น จะได้ไปค้นหาคำตอบจากกูเกิลในตอนที่สอบไม่ได้ เพราะล็อกไว้ไม่ให้ใช้อย่างอื่น มหาวิทยาลัยหนึ่งกำหนดให้นักศึกษาต้องมีกล้องสามร้อยหกสิบองศาส่งภาพมาให้ดูว่าทั้งพื้นที่นั้นไม่มีใครมาช่วยสอบด้วย สิ่งเหล่านี้แม้เป็นความตั้งใจดีในการป้องกันทุจริต แต่เป็นการเพิ่มภาระให้กับคนเรียน โดยปราศจากการสนับสนุนที่เหมาะสมและเพียงพอ ถ้าฉันสั่ง แกต้องทำ แต่แกไปหาอุปกรณ์มาเอง
ลำบากที่สองคือ สถานที่เล่าเรียน ถ้าบ้านใหญ่หน่อยก็ได้พื้นที่เป็นสัดส่วน แต่ถ้าเป็นบ้านสตูดิโอ ทุกอย่างรวมกันหมด สถานที่เล่าเรียนก็ปนกับอีกสารพัดกิจกรรม สมาธิที่จะเล่าเรียนก็น้อยลงไป ทางแก้ที่ใช้กันมาก ๆคือแบ่งมุมกันไปแล้วหาหูฟังดี ๆมาช่วยลดทอนการรบกวนทางเสียง นั่งเรียนหันหน้าไปทางที่ไม่มีคนเดินผ่านไปผ่านมาก็จะพอทุเลาไปได้บ้าง หูฟังตัดเสียงรบกวนชุดหนึ่งก็ไม่ใช่ถูก ๆ สถานที่เรียนถ้าร้อนเกินไป ก็เรียนไม่รู้เรื่อง ก็ต้องเปิดแอร์เล่าเรียนกัน เพราะบ้านไม่ได้ออกแบบให้โปร่งเหมือนห้องเรียนในโรงเรียน บางโรงเรียนก็เป็นห้องเรียนปรับอากาศอยู่แล้ว เรียนที่บ้านเลยมีภาระเพิ่มเติมเรื่องค่าไฟฟ้าที่ไม่ได้มีการช่วยเหลืออะไรที่ดูจริงจังนัก
ลำบากสามคือ พ่อแม่ที่ต้องกลายเป็นครูช่วยสอนเต็มเวลา จากเดิมที่เป็นแค่กองหนุน ลูกเรียนอยู่ที่โรงเรียน พ่อแม่ไม่เห็นว่าเรียนกันอย่างไร แต่พออยู่บ้านก็เห็นว่าเรียนกันแบบไหน แล้วก็วิตกไปว่าสอนกันอย่างนี้จะไปรู้เรื่องอะไรได้ สอนผิดก็มีให้เห็นอีก เห็นแล้วก็ทนไม่ไหวต้องช่วยอย่างนั้นอย่างนี้ สอนเองไม่ได้ก็ไปเสาะหาติวเตอร์ออนไลน์มาช่วยอีก ซึ่งที่จริงในยามนี้ปล่อยวางจุดอ่อนไปบ้างดีกว่า แล้วหาทางช่วยเสริมจุดเด่นของลูกให้มากขึ้น เรียนที่บ้านพอจะเห็นว่าลูกเก่งลูกชอบอะไร แล้วสนับสนุนที่เขาเก่งเขาชอบ ออกแรงเป็นครูช่วยสอนในเรื่องที่ช่วยสร้างความสุขให้เขาดีกว่ามัวแต่เคี่ยวเข็ญในเรื่องที่เราคิดว่าเขาอ่อน
ลำบากยาวนานครั้งนี้ น่าจะช่วยเปิดหูเปิดตากันได้มากทีเดียว.