SETต่ำกว่า 1,550 แล้วจะไปไหน
2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีราคาหุ้นไทย ปรับตัวลงมาอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มต้นจากปัจจัย ต่างประเทศ
มีความวิตกว่าธนาคารกลางของสหรัฐจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า ซึ่งขึ้นเร็วกว่าคาดหมายเดิม เเละต่อด้วยปัจจัยในประเทศ แนวโน้มการติดโควิด-19ที่ไต่ขึ้นทำยอดรายวันขึ้นสูงถึงกว่า 7 พันคน พร้อมกับผู้ป่วยล้นเตียง ยอดผู้เสียชีวิตรายวันล่าสุดสูงถึง 75 คนในวันเดียว
มีการคาดการณ์กันว่า เราอาจต้องล็อคดาวน์จริงจังอีกครั้ง เพื่อให้สามารถคุมยอดระบาดได้นอกจากนั้นแล้ว ยังมีผลกระทบจากข่าวแนวคิดการเริ่มจัดเก็บภาษีการซื้อขายหุ้นในอัตรา 0.11% โดยเก็บจากผู้ที่มียอดซื้อขายเกินกว่าหนึ่งล้านบาทต่อเดือน จึงทำให้ ดัชนีราคาหุ้นไทยร่วงลงต่ำกว่าระดับสำคัญที่ 1,550 จุด ด่านต่อไปนั้น ที่จริงมีแนวรับสำคัญที่1,540 จุด เห็นได้จากกราฟย้อนหลังช่วงเมษายนหลายครั้ง แต่เนื่องจากครั้งนี้ลงปิดต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 75วัน หากไม่มีปัจจัยใหม่มาพลิกเกม อาจค่อยๆกระเด้งกระดอนจนไปใกล้ 1,500 จุดในที่สุด
ที่จริงความวิตกกังวลเรื่องแรกคือ อัตราดอกเบี้ยธนาคารกลางสหรัฐ ก็เริ่มคลายกังวลกันในตลาดโลกแล้ว และหุ้นสหรัฐและหุ้นยุโรปก็ยังไต่ขึ้นไป สอดรับกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ดี และความสามารถควบคุมความรุนแรงของโรคโควิด จากการระดมฉีดวัคซีนที่ครอบคลุมไปกว่า 60% ของประชากร
แต่เนื่องจากเรามีปัจจัยส่วนตัวที่กระทบข้างต้น ทำให้หุ้นไทยต้องแตกแถวดิ่งลงอีกครั้ง และผมคิดว่าเหตุการณ์นี้คงเกิดผลกระทบต่อการประเมินปัจจัยพื้นฐานดังนี้ครับ
- การล็อคดาวน์หรือทำสิ่งที่คล้ายๆในชื่ออื่นเพื่อควบคุมการระบาด น่าจะเกิดขึ้น และเป็นธรรมดาที่จะกระทบคาดการณ์ GDP ในปีนี้ นักวิเคราะห์คงทยอยกันปรับลดคาดการณ์ลงไปต่ำกว่า 2% อาจเป็น 1.5 จนถึง 0.5%
- คาดการณ์กำไรของบริษัทจดทะเบียนเฉลี่ยที่เคยปรับขึ้นไปที่ 80 บาท อาจต้องลดลงใหม่ ส่วนตัวผมขอใช้ที่ 75 บาทต่อหุ้น และใช้ระดับ P/E เฉลี่ยย้อนหลัง 5ปี ที่ 20.16 เท่า ได้ค่าที่เหมาะสมที่ 1,512 จุด (ซึ่งโดยทั่วไป ยามที่ตลาดคึกคักก็อาจจะปรับเพิ่มค่าสัก 1-2 เท่า หรือตอนซบเซา ก็สามารถลบ P/E ได้สัก 1-2 เท่า)
- วันเวลาการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอาจเลื่อนไปบ้าง แต่ก็คงไม่ไกลกว่ากลางปี 2565 ซึ่งหุ้นสามารถฟื้นตัวได้ล่วงหน้าก่อนตัวเลขเศรษฐกิจ ยุคนี้อาจฟื้นได้ก่อนเหตุการณ์เกือบ 1 ปี จังหวะลงเยอะต่อไปในหลายวันข้างหน้า เราคงไปหาเลือกหุ้นที่ธุรกิจจะกลับมาแข็งแรงในปีหน้าได้ครับ
- ผมเคยแนะให้มีหุ้นไทยอยู่ 25%ของเงินลงทุน (ส่วนที่เหลือกระจายในหุ้นต่างประเทศ 20% ทองคำ 12% และกองทุนตราสารหนี้ 43%) การลงของตลาดรอบนี้ ถ้าลงไปใกล้ 1,512 จุด ผมคงแนะนำให้เพิ่มหุ้นไทยเป็น 30% ครับ หากคุณผู้อ่านเลือกเป็นกองทุนรวม ก็คงประหยัดกำลังการไปคิดต่อว่าหุ้นอะไรดี
- แต่ถ้าจะเลือกเป็นรายธุรกิจ ผมคิดว่าหุ้นในกลุ่มธุรกิจส่งออกดูน่าสนใจเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวแข็งแรงกว่าในประเทศมาก ประกอบกับค่าเงินบาทเริ่มอ่อนค่าต่อเนื่อง แต่การแนะนำนี้ไม่นับรวมหุ้นตัวหนึ่งในหมวดชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ปีก่อนวิ่งมาเป็น 10 เท่า จนเกินปัจจัยพื้นฐานมาก
- ส่วนหุ้นในหมวดธุรกิจอื่นในประเทศก็มีหลายธุรกิจที่จะเดินผ่านช่วงโควิด-19 มาราธอนนี้ไปได้โดยฐานะไม่ทรุดไปก่อน ซึ่งตามผล IAA Survey เมื่อ 5 ก.ค. 2564 นักวิเคราะห์แนะนำเพิ่มน้ำหนักหลายหมวด เช่น อาหาร ธนาคาร หมวดพาณิชย์ และการแพทย์ ผมชี้ช่องให้ไปเลือกหุ้นจากบทวิเคราะห์ที่สมาคมนักวิเคราะห์รวมรวมและทำตารางเทียบให้ครบถ้วน ว่าหุ้นไหนที่ราคาต่ำกว่ามูลค่ามาก และผมขอชี้ช่องให้มองข้ามปี 2564 ไปที่ EPS ปี2565 เลย อ่านตามLink นี้ครับ https://www.settrade.com/settrade/iaaConsensus
- ส่วนหุ้นที่ยังไม่น่าสนใจคือหมวดโรงแรม สายการบิน ผมคิดว่าคงเหนื่อยอีกนานพอสมควร
- ช่วงท้ายแถมเรื่องทองคำหากขึ้นรอบนี้ไปถึง 28,000 บาท และมีกำไร แนะให้แบ่งขายบ้างครับจากพอร์ต 12% ลดลงไปที่ 10% ครับ
พบกันใหม่เดือนหน้าครับ