ฟื้นฟูหัตถกรรมไทย ทำอย่างไรให้ตรงจุด?
การทำให้สินค้าหัตถกรรมไทย เป็นที่ต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ มีความสำคัญและจะเป็นทางรอดของอุตสาหกรรมสินค้าหัตถกรรมไทยในระยะยาว
บทความโดย เมธิส โลหเตปานนท์
ทำอย่างไรสินค้าไทย จึงจะวางขายและเป็นที่ต้องการในตลาดโลกได้? นี่อาจไม่ใช่คำถามและความท้าทายใหม่ แต่คำถามนี้กำลังเป็นโจทย์ที่ยากยิ่งขึ้นสำหรับผู้ผลิตสินค้า “หัตถกรรมไทย” ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเอสเอ็มอีมีข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งทุนและเทคโนโลยี อีกทั้งที่ผ่านมาอุตสาหกรรมหัตถกรรมไทยมีแนวโน้มชะลอตัว เมื่อยิ่งเผชิญผลกระทบจากสถานการณ์การท่องเที่ยวที่ซบเซาจากการระบาดของโควิด-19 การขาดกำลังซื้อจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ยิ่งกลายเป็นตัวเร่งทำให้การเติบโตลดลงเร็วและรุนแรงขึ้นกว่าที่ผ่านมา
การทำให้สินค้าหัตถกรรมไทยเป็นที่ต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ จึงยิ่งมีความสำคัญและจะเป็นทางรอดของอุตสาหกรรมสินค้าหัตถกรรมไทยในระยะยาวอีกด้วย
ประเทศญี่ปุ่น เป็นหนึ่งในประเทศที่มีสินค้าหัตถกรรมท้องถิ่นหลากหลายเช่นเดียวกัน และรัฐบาลมีการส่งเสริมหัตกรรมดั้งเดิมอย่างเป็นระบบ ภายใต้โครงการ Cool Japan ที่รัฐบาลวางยุทธศาสตร์กระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการผลักดันสินค้าและบริการอันเป็นเอกลักษณ์ของญี่ปุ่นในต่างประเทศ ในโครงการนี้มีผู้เชี่ยวชาญเข้ามาช่วยพัฒนาแบรนด์ท้องถิ่น และสนับสนุนการส่งออกผ่านการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในต่างประเทศโดยองค์กร Association for Promotion of Traditional Craft Industries (DENSAN)
ตัวอย่างเช่น กาต้มน้ำเครื่องโลหะนัมบุ Nambu Tekki จากจังหวัดอิวาเตะ ซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานเกือบ 400 ปี ที่นอกจากจะมีจุดเด่นเรื่องรูปลักษณ์ของกาน้ำแล้ว ยังมีชื่อเสียงในเรื่องการทำน้ำร้อนดื่มแสนอร่อยจากธาตุเหล็กตามธรรมชาติด้วย ผลิตภัณฑ์นี้ ได้รับเงินทุนสนับสนุนจากรัฐบาลญี่ปุ่นเป็นเวลาถึง 3 ปีให้ออกแบบผลิตภัณฑ์สำหรับ Euro Branding Project และได้ร่วมกับนักออกแบบจากฟินแลนด์ สร้างผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับตลาดยุโรป ทำให้จากที่ต้องพึ่งตลาดในประเทศเกือบทั้งหมด ในปัจจุบันได้รายได้จากต่างประเทศถึงครึ่งหนึ่ง
สำหรับประเทศไทย ก็มีสินค้าหัตถกรรมที่สามารถเพิ่มมูลค่าและขายได้ในราคาสูง เช่น กระเป๋าสานจากกกจันทบูร ขายได้ในราคาหลักหมื่น รวมทั้งมีศูนย์ทำกระจูดที่พร้อมด้วยกิจกรรมและโฮมสเตย์ จนเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่คึกคัก ทั้งสองตัวอย่างนี้เกิดจาก ความพยายามของทั้งผู้ประกอบการที่อยู่ในวงการมานาน และคนรุ่นใหม่ที่ก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมนี้ หมายความว่า อุตสาหกรรมสินค้าหัตถกรรมไทยนั้นมีศักยภาพเพียงแต่ต้องได้รับการสนับสนุนที่ตรงจุด
ผู้ประกอบการในกลุ่มหัตถกรรมในประเทศไทยนั้น มีทั้งที่เป็นชุมชนทำหัตถกรรมแบบดั้งเดิม และหัตถกรรมที่พัฒนาต่อยอดจากแบบดั้งเดิมจนเป็นแบรนด์สินค้าโดยคนรุ่นใหม่ เพื่อคว้าโอกาสในตลาดใหม่ๆ การสนับสนุนที่ตรงจุดจากภาครัฐ จึงต้องตอบโจทย์เหล่านี้พร้อมกับถอดบทเรียนจากยุทธศาสตร์ Cool Japan ของญี่ปุ่นมาเป็นแนวทาง โดยผู้เขียนเห็นว่าสองสิ่งที่รัฐบาลควรเร่งดำเนินการ คือ
- ส่งเสริมคนรุ่นใหม่ที่ต้องการมีส่วนร่วมในการพัฒนาและฟื้นฟูหัตถกรรมไทยในการเข้าถึงแหล่งทุน
กลุ่มธุรกิจหัตถกรรมโดยคนรุ่นใหม่ มีศักยภาพสูงในพัฒนาสินค้าด้วยความคิดสร้างสรรค์ เป็นตัวอย่างของธุรกิจที่ปรับตัว สร้างแบรนด์พรีเมี่ยม และมองหาช่องทางใหม่ ๆ ในการนำเสนอสินค้า แต่อุปสรรคสำคัญคือ การเข้าถึงแหล่งเงินทุน ที่ภาครัฐจำเป็นต้องเข้ามาปลดล็อคช่วยเหลือ
นอกจากนี้ คนรุ่นใหม่ยังมีทักษะสำคัญที่จำเป็นสำหรับการประกอบธุรกิจในยุคนี้ ซึ่งจะช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมหัตกรรมของไทยได้ เช่น ทักษะดิจิทัล หรือทักษะออนไลน์ โดยเฉพาะในช่วงโควิด-19 ระบาด ทำให้ผู้บริโภคคุ้นชินกับการซื้อ-ขายออนไลน์มากขึ้น หลายธุรกิจจำเป็นต้องปรับตัว หรือต้องมองหาแรงงานที่มีทักษะด้านดิจิทัล พร้อมทำการค้า-การเงินออนไลน์ และการสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดีย
2) ให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือเรื่องการทำการตลาดอย่างเป็นระบบ
ที่ผ่านมาภาครัฐมีการสนับสนุนหัตถกรรมไทยอยู่บ้างแล้ว ไม่ว่าจะเป็นด้วยโครงการ OTOP หรือ การช่วยเหลือต่าง ๆ ของกรมการพัฒนาชุมชน แต่เสียงสะท้อนจากผู้ประกอบการในชุมชนท้องถิ่นต่าง ๆ ที่ส่วนใหญ่เห็นตรงกัน คือ แม้ว่าหน่วยงานภาครัฐจะช่วยสนับสนุนการออกแบบสินค้า แต่สินค้าที่ผลิตออกมาไม่มีตลาดรองรับ ดังนั้นการให้คำแนะนำเฉพาะรายเรื่องการทำสินค้าให้เหมาะสมกับตลาดใดตลาดหนึ่งและวิธีการเข้าถึงตลาดนั้น จึงมีความสำคัญ เพื่อให้การออกแบบและการผลิตตรงตามความต้องการและเพียงพอกับความต้องการของตลาด
ผู้เขียนเห็นว่าภาครัฐมีศักยภาพในการหาตลาดรองรับ จากที่ภาครัฐเคยให้ความช่วยเหลือเรื่องการหาตลาดและประสบผลสำเร็จแล้ว เช่น กลุ่มหัตถกรรมบ้านทับลาน จังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งมีจุดเด่นในเรื่องการใช้ใบลานจากป่าลานที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของเอเชียมาทำกระเป๋า และได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐให้นำไปขายที่ต่างประเทศ การทำเช่นนี้ได้ช่วยขยายศักยภาพของผู้ผลิตหัตถกรรมไทยเป็นอย่างมาก เพียงแต่ภาครัฐต้องทำอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง
ดังเช่นกรณีของรัฐบาลญี่ปุ่นที่ยกตัวอย่างในเบื้องต้น ที่ให้การสนับสนุนถึง 3 ปี ผนวกกับการช่วยสนับสนุนในด้านของ Business Matching เช่น การส่งเสริมการจับคู่ระหว่างนักออกแบบกับผู้ประกอบการ เพื่อสนับสนุนในด้านของการออกแบบที่ตรงกับรสนิยมของตลาดต่าง ๆ รวมไปถึงการจับคู่ผู้ประกอบการกับคู่ค้า ภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง ภาคอุดมศึกษา เพื่อช่วยตอบโจทย์ปัญหาของธุรกิจ และเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงตลาดใหม่ ๆ ที่ผู้ผลิตสินค้าหัตกรรมไทยไม่เคยไปถึง
หัตถกรรมไทย เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของเศรษฐกิจฐานราก เป็นแหล่งรายได้หลักและรายได้เสริมที่ทำให้เกิดการกระจายรายได้สู่ชุมชน และทำให้ภูมิปัญญาชาวบ้านได้รับการสืบทอด ต่อยอด ไปพร้อม ๆ กับการเผยแพร่อัตลักษณ์ของท้องถิ่น ดังนั้น การไม่ทิ้งอุตสาหกรรมหัตถกรรมนี้ไว้ข้างหลัง และให้การสนับสนุนอย่างตรงจุดให้สามารถเข้าถึงเงินทุน และเปิดตลาดทั้งในไทยและต่างประเทศได้ จึงไม่เพียงแต่เป็นการหนุนเศรษฐกิจฐานราก แต่เท่ากับเป็นการเพิ่มโอกาสในการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของประเทศที่รัฐบาลกำลังให้ความสำคัญอยู่ในขณะนี้ด้วย.