โลกจะไม่มี fake news เลย ถ้าทุกคนหันมาปฏิบัติตัวตามแนวพุทธ
ด้วยจุดประสงค์ที่ไม่แน่ชัดนัก บางคนชอบที่จะสร้าง fake news หรือข่าวปลอมขึ้นมา ส่วนบางคนแม้จะไม่ได้เป็นคนสร้างข่าวปลอมเอง แต่ก็อาจจะชอบแชร์
พฤติกรรมดังกล่าวทำให้สังคมสับสนและวุ่นวายในการจัดการปัญหา ไม่ว่าปัญหานั้นจะเป็นปัญหาอะไร ปัญหาในการป้องกันการระบาดของโควิด-19 นี้เป็นตัวอย่างที่ดีของการได้รับผลกระทบจากข่าวปลอมที่หลายต่อหลายคนขยันสร้างและแชร์กันทุกวัน
รัฐและรัฐบาลทั่วโลกได้พยายามกำจัดข่าวปลอมนี้ โดยการตั้งหน่วยงานขึ้นมาตรวจสอบข่าวปลอม หรือสั่งให้บริษัทอินเตอร์เน็ตทั้งหลายทำการตรวจสอบเองด้วย เมื่อพบว่าข่าวใดเป็นข่าวปลอมก็ออกมาชี้แจงหรือแก้ข่าว แต่เราทุกคนก็รู้ดีว่ามาตรการนี้ใช้ไม่ได้ผล ข่าวปลอมก็ยังแพร่หลายอยู่ทั่วไป ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะคนเราก็แปลกมักชอบแชร์ข่าวปลอมมากกว่าข่าวจริง
ผมอยากจะลองขอเสนอแนะให้ใช้แนวคิดและปรัชญาแบบชาวพุทธมาแก้ปัญหานี้กัน แนวคิดอย่างแรกที่อยากจะเสนอคือการใช้อริยสัจ ๔ หรือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เป็นฐานคิด ทุกข์ในที่นี้คือผลเสียจากปัญหาต่างๆที่มาจากข่าวปลอม สมุทัย(หรือสาเหตุแห่งทุกข์) คือการสร้างและแชร์ข่าวเท็จ นิโรธ (หรือผลสุดท้ายที่ต้องการ) คือการไม่มีผลเสียจากข่าวปลอม และมรรค(หรือวิธีการ) คือการยึดหลักคิดทางพุทธมาระงับข่าวปลอม
มรรคหรือวิธีการแรกที่ผมอยากจะแนะนำนี้อยู่บนพื้นฐานที่ว่าเราจะไม่เขียนข่าวปลอมรวมทั้งจะไม่แชร์ข่าวถ้าข่าวนั้นเป็นข่าวปลอม ซึ่งก็คือศีลข้อมุสา หรือการกล่าวเท็จนั่นเอง นั่นหมายความว่าถ้าเราถือศีลข้อนี้จริงจัง เราจะไม่สร้างและจะไม่แชร์ข่าวปลอม และปัญหาของสังคมที่ว่าก็จะไม่มีอีกต่อไป
ทีนี้เราจะรู้ได้อย่างไรล่ะว่าข่าวหรือข้อมูลที่แชร์ๆกันมานั้นเป็นข่าวปลอมหรือข้อมูลที่ไม่จริง ซึ่งหากเราเป็นฝ่ายรับข่าวหรือข้อมูลและอยากจะแชร์ข่าวหรือข้อมูลนั้นเราก็ควรต้องมั่นใจก่อนว่ามันเป็นเรื่องจริง โดยเราจะไม่เชื่อสิ่งที่ได้รับมานั้นอย่างงมงายไร้เหตุผล ด้วยการใช้หลัก 10 ข้อมาช่วยวิเคราะห์ นั่นคือเราจะไม่เชื่อข่าวหรือข้อมูลพวกนั้นเพียงเพราะ ๑) ฟังตามๆกันมา ๒) ยึดถือสืบๆกันมา ๓) เล่าลือกันมา ๔) มีตำรามาแสดง ๕) มีตรรกะ ๖) ด้วยการอนุมานหรือคาดคะเน ๗) ด้วยการคิดตามเหตุผล ๘) เพราะมันเข้ากับทฤษฎีหรือวิธีคิดที่ตัวเองเชื่ออยู่แล้ว ๙) เพราะคนที่ให้ข่าวหรือข้อมูลแก่เรานั้นน่าเชื่อถือ และ ๑๐) คนที่ให้ข้อมูลหรือข่าวมานั้นเป็นครูอาจารย์ของเราเอง และต่อเมื่อเราได้ใช้ปัญญาพิจารณาอย่างถี่ถ้วนจนเห็นแล้วว่าข้อมูลหรือข่าวนั้นจริงหรือเท็จ จึงค่อยตัดสินใจแชร์หรือไม่แชร์ไปตามนั้น ธรรมหรือวิธีการข้อ ๒ นี้คนพุทธเขาเรียกว่า ‘กาลามสูตร’ ครับ
วิธีการเชิงพุทธที่ ๓ ที่อยากจะพูดถึงคือ อคติ ๔ ซึ่งมีอยู่ 4 อย่าง อันได้แก่ฉันทาคติ คืออคติจากความชอบเป็นส่วนตัว อะไรที่มันตรงกับความคิดเรา เราชอบ เราก็จะเขียนจะแชร์แม้มันจะไม่จริง ซึ่งก็ต้องกำกับไม่ให้ทำด้วยวิธีการตามข้อ ๑ (ศีลข้อมุสา)และข้อ ๒ (กาลามสูตร)ข้างต้น คือ ถ้าเราเพียงแค่สงสัยหรือไม่เชื่อว่ามันจริงเราก็ต้องไม่เขียนไม่แชร์ ถัดมาคือโทสาคติ หรืออคติหรือความลำเอียงอันเนื่องมาจากความไม่ชอบ ความโกรธ ความเกลียด อันนี้หลักคิดก็เฉกเช่นเดียวกับฉันทาคติ แต่เป็นในทางตรงข้าม ซึ่งเราต้องไม่เขียนไม่แชร์ข่าวปลอมนั้นแม้นมันจะสะใจที่ทำให้ฝ่ายที่เราไม่ชอบนั้นเดือดร้อนหรือรำคาญใจ อคติอีกข้อหนึ่งคือโมหาคติ หรืออคติจากความหลงความเขลา ที่เมื่อไม่ใช้หลักกาลามสูตรข้างต้นมากำกับเราก็จะโง่และเชื่อตามข่าวปลอม และแชร์ไปแบบมีบาปข้อมุสาติดตัวไปด้วย ส่วนความลำเอียงหรืออคติข้อสุดท้าย คือ ภยาคติ หรือความกลัวเนื่องจากภัยที่จะมาถึงตัว เช่น กลัวว่าจะแพ้ กลัวไม่ได้ขึ้นเงินเดือน กลัวเพื่อนไม่ให้เข้ากลุ่ม ฯลฯ แล้วก็เขียนหรือแชร์ข่าวปลอมออกไป แต่ถ้าเราเข้าใจและยึดหลักอคติ ๔ นี้ให้ดีเราก็จะไม่ลำเอียงไม่ว่าด้วยเหตุใด และจะไม่เขียนไม่แชร์ข่าวปลอมพวกนี้อีกต่อไปด้วย
จากนี้ก็มาถึงวิธีการที่ ๔ คือ การพิจารณาโดยแยบคาย อันหมายถึงการพิจารณาโดยใช้สมองใช้ปัญญาสืบค้นและค้นหาเหตุผลไปตามลำดับ จนถึงเหตุหรือที่มาของข้อมูลและข่าวนั้นๆ แล้ววิเคราะห์จนได้ข้อสรุปว่าจริงหรือปลอม ถ้าจริงเราก็เขียนหรือแชร์ ถ้าปลอมเราก็ไม่เขียนไม่แชร์ ธรรมข้อที่ใช้ปัญญาพิจารณานี้มีชื่อเรียกทางพุทธว่า ‘โยนิโสมนสิการ’
สรุป ถ้าเราจะไม่ให้สังคมต้องมีปัญหาจากข่าวปลอมข่าวลวงพวกนี้ เราต้องเขียนและอ่านหรือฟังข่าวแบบใช้หลักอริยสัจ ๔ และหลักการ‘ไม่เชื่อไว้ก่อน’(กาลามสูตร) เป็นฐานคิด รวมทั้งใช้หลักการที่เราจะไม่เชื่อไม่เขียนไม่แชร์โดยใช้ความลำเอียงมามีส่วนในการตัดสินใจ ไม่ว่าความลำเอียงนั้นจะมาจากความชอบ ความเกลียด ความหลง หรือความกล้ว (อคติ ๔) ซึ่งจะทำเช่นนั้นทั้งหมดได้ก็ต้องใช้ปัญญามาพิจารณาอย่างถี่ถ้วน (โยนิโสมนสิการ) และหากทำตามวิธีการทั้ง 3 ข้อเช่นนั้นได้แล้วเรายังจะสร้าง ยังจะแชร์ข่าวปลอมข่าวลวงอีกต่อไป ก็เท่ากับเราทำบาปโดยผิดศีลข้อมุสา เป็นการปิดฉากประการสุดท้าย
สรุปในสรุป คือ ถ้าเรายึดหลักปฏิบัติทางพุทธที่ว่ามาได้ครบ เราจะไม่มีทางเลยที่จะสร้างปัญหาให้กับสังคมโลกด้วยการสร้างหรือแชร์ fake news คิดได้อย่างนี้แล้วเรามาช่วยกันแก้หรือลดปัญหาสังคมนี้ด้วยวิถีพุทธกันดีไหมครับ.