ภารกิจแก้หนี้ประชาชน: เพื่อบรรเทาผลกระทบโควิด 19 (ตอน 2)

ภารกิจแก้หนี้ประชาชน: เพื่อบรรเทาผลกระทบโควิด 19 (ตอน 2)

บทความตอน 2 เสนอปัญหาเชิงโคงสร้างในธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อ ความคืบหน้าในการแก้ไขเพื่อสร้างความเป็นธรรมแก่ลูกหนี้

ปัญหาเชิงโครงสร้างของธุรกิจเช่าซื้อ: ขาดกฎหมายคุ้มครองสิทธิของผู้เช่าซื้อ และไม่มีหน่วยงานกำกับแบบเบ็ดเสร็จ

ในทางกฎหมาย ประเทศไทยยังไม่มีบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับสัญญาลิสซิ่งไว้เป็นการเฉพาะ ในปัจจุบันการบังคับใช้สัญญาลิสซิ่ง ศาลจะใช้บทบัญญัติลักษณะเช่าทรัพย์ เช่าซื้อ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้บังคับในฐานะที่เป็นบทกฎหมายที่ใกล้เคียงที่สุดและใช้หลักการตีความสัญญา ทำให้การตีความสัญญาลิสซิ่งมีข้อจำกัดและมีปัญหาในทางปฏิบัติ

ในมิติด้านผู้บริโภค ประเทศไทยก็ยังไม่มีกฎหมายเฉพาะเพื่อคุ้มครองสิทธิประชาชนผู้เช่าซื้อทำให้ต้องอาศัยกฎหมายหลายฉบับ ทั้งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กฎหมายว่าด้วยข้อสัญญาไม่เป็นธรรมปี 2540 และกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งมีผลบังคับใช้กับสัญญาหลากหลายประเภทไม่ใช่เพียงสัญญาเช่าซื้อเท่านั้น

 สินเชื่อเช่าซื้อขาดผู้กำกับดูแล

ปัจจุบันธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อยังไม่มีผู้กำกับดูแลทำให้ขาดแนวปฏิบัติที่เป็นมาตรฐานและเป็นธรรม เมื่อเกิดปัญหาขึ้นต้องใช้กฎหมายเกี่ยวข้องหลายฉบับข้างต้นทำให้แก้ไขไม่ตรงจุด ขาดประสิทธิภาพ

ในทางปฏิบัติ สัญญาเช่าซื้อมีลักษณะคล้ายสินเชื่อจะไม่ถูกกำหนดเพดานการคิดดอกเบี้ยสูงสุดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และจากประกาศของแบงค์ชาติปี 2551 เรื่อง หลักเกณฑ์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ย ค่าบริการต่างๆ และเบี้ยปรับสำหรับธนาคารพาณิชย์ ไม่ได้ครอบคลุมถึงสัญญาเช่าซื้อเช่นกัน ทำให้เกิดช่องโหว่ในการกำกับเรื่องอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่จะเรียกเก็บจากสัญญาเช่าซื้อ เช่น กรณีผู้ประกอบธุรกิจเช่าซื้อบางรายคิดอัตราดอกเบี้ยโดยเฉพาะรถมือสอง รวมถึงค่าธรรมเนียมต่าง ๆ อาจสูงถึงร้อยละ 20-40 เป็นต้น

จากมุมมองด้านผลประกอบการธุรกิจเช่าซื้อและบริษัทลีสซิ่ง ขนาดใหญ่ที่สุด 5 อันดับแรก ณ Q1 ปี 2564 พบกำไรสุทธิรวมกันกว่า 6,744 ล้านบาท อาจสะท้อนถึงความไม่ปกติและปัญหาเชิงโครงสร้างของธุรกิจเช่าซื้อที่ขาดกฎหมายคุ้มครองสิทธิประชาชนผู้เช่าซื้อ รวมทั้งไม่มีผู้กำกับดูแลที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ

งานวิจัยด้านกฎหมายหลายชิ้นเสนอให้กำหนดมาตรการกฎหมายสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ใหม่เป็นการเฉพาะ เพื่อใช้ควบคุมการกำหนดอัตราดอกเบี้ย ค่าตอบแทนอื่น ๆ ในสัญญาเช่าซื้อให้มีความชัดเจนขึ้น รวมถึงเสนอให้ปรับปรุงแก้ไขกฎหมายว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมปี 2540 เพื่อให้สอดคล้องกับการให้ความคุ้มครองผู้บริโภค สร้างความเป็นธรรมในสังคม

ทางออกเพื่อปลดล็อกเพนพอยต์ (Pain points) ของลูกหนี้

162912260153

ข้อมูลศาลยุติธรรม ปี 2563 มีคดีเช่าซื้อที่ขึ้นสู่การพิจารณาของศาลประมาณ 80,000 คดี (10% ของคดีผู้บริโภคที่ขึ้นสู่ศาลทั้งหมดกว่า 800,000 คดี) เป็นอันดับที่ 4 ของคดีผู้บริโภคทั้งหมด ขณะที่ข้อมูลบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ หนี้สินเชื่อประเภทต่าง ๆ ที่อยู่ระหว่างการดำเนินคดีมีประมาณ 2 ล้านคดี และจากข้อมูลฝ่ายคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน (ฝคง.) แบงค์ชาติ ปี 2563 ได้รับเรื่องร้องเรียนกรณีหนี้สัญญาเช่าซื้อถึง 12,171 ข้อร้องเรียน ตามสิทธิที่จะร้องเรียนเพื่อความเป็นธรรม (Right to be heard สรุปเพนพอยด์ (Pain Points) ของลูกหนี้เช่าซื้อที่ได้รับร้องเรียนอันดับต้นๆ (ภาพประกอบ) คือ

1) “หนี้เช่าซื้อส่วนขาด (ติ่งหนี้)” เมื่อรถโดยยึดและเข้าสู่การครอบครองของเจ้าหนี้ผู้ให้เช่าซื้อ ที่ได้เร่งนำรถออกขายทอดตลาดในราคาที่ไม่เป็นธรรม (ต่ำกว่าราคาจริงของรถมากทำให้เกิดหนี้เช่าซื้อส่วนขาดสูง) และ 2) “ค่าติดตามและทวงถามหนี้ที่ไม่เป็นธรรม” (3,970 ข้อร้องเรียนหรือ 1/3 ของทั้งหมด) โดยมีมูลค่าสูง โดยเฉพาะการคิดค่าติดตามในภาคสนาม และการเก็บค่าธรรมเนียมที่ไม่มีการกำหนดอัตราและจำนวนครั้งของการจัดเก็บ

ล่าสุดสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) และแบงค์ชาติ โดยความสนับสนุนของสำนักงานศาลยุติธรรม ได้ทำงานร่วมกันหาทางออกปัญหา “ติ่งหนี้” โดยศึกษาแนวคำพิพากษาของศาล วิเคราะห์และจัดทำเป็นแอปพลิเคชันในรูปแบบที่ “โปร่งใส ใช้ง่าย ไม่ซับซ้อน” (https://www.ocpb.go.th/debt/) สำหรับคำนวณ “ภาระหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อ” (Self Check App) หากถูกฟ้องร้องเป็นคดีในศาล ให้ลูกหนี้เช่าซื้อได้ทดลองใช้ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและเป็นธรรมขึ้นในการประกอบธุรกิจเช่าซื้อ

นอกจากนี้ สคบ. ได้ออกประกาศเรื่องให้ธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญาปี 2561 ได้กำหนดความชัดเจนในหลายประเด็น อาทิ ค่าธรรมเนียม “การทวงถามหนี้ค่าเช่าซื้อ” ไม่รวมถึง “ค่าติดตามเอารถยนต์กลับคืน” เนื่องจากรถยังเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ให้เช่าซื้ออยู่ เจ้าของรถตัวจริงตามกฎหมายคือผู้ให้เช่าซื้อ จึงต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายดังกล่าว เป็นต้น

ล่าสุดมาถึงวันที่ 13 ส.ค. 2564 ผู้บริโภครอคอยมีการประกาศลงราชกิจจานุเบกษา“การกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายใดๆ ในการทวงถามหนี้” (รวมหนี้เช่าซื้อ) ทำให้เกิดการเรียกเก็บค่าติดตามทวงถามหนี้ที่เป็นธรรมมากขึ้น โดยมีการกำหนดค่าทวงหนี้งวดแรกไว้ที่ 50 บาท ถ้าหนี้ค้างชำระไม่เกิน 1 พันบาทไม่ให้เก็บค่าทวงหนี้ โดยจะมีผลต้น ก.ย. 2564 

ความท้าทายของการแก้หนี้ประชาชน

ไทยควรเร่งปรับปรุงแก้ไขเพื่อคุ้มครองสิทธิของลูกหนี้ให้มีความเป็นธรรมมากขึ้นให้มีมาตรฐานคล้ายกับต่างประเทศ เช่น ในออสเตรเลียและมาเลเซีย หากลูกหนี้จ่ายเงินขั้นต้นไปแล้วไม่ต่ำกว่าร้อยละ 75 ผู้ให้เช่าซื้อจะยึดรถได้เมื่อมีคำสั่งจากศาลเท่านั้น หรือในอังกฤษ หากลูกหนี้ชำระหนี้เช่าซื้อมากกว่า 1 ใน 3 แล้ว เจ้าหนี้จะยึดรถได้จะต้องมีคำสั่งจากศาลเท่านั้น

ในระยะยาว สอดคล้องกับงานวิจัยด้านกฎหมายหลายชิ้นข้างต้น ไทยควรผลักดันให้มี “กฎหมายเฉพาะเพื่อคุ้มครองผู้เช่าซื้อ” และ“หน่วยงานกลางในการกำกับดูแลธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ” เพื่อให้มีแนวปฏิบัติแก่ผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อเป็นมาตรการฐานเดียวกัน และช่วยเสริมสร้างความเป็นธรรมแก่ผู้บริโภค และในท้ายนี้ การแก้ปัญหาโครงสร้างหนี้ประชาชนยังต้องการมาตรการในมิติอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น มาตรการสร้างงานสร้างรายได้แก่ประชาชน การให้ความรู้ทางการเงิน ทั้งการบริหารการใช้จ่าย การออม และหนี้ และหากจำเป็นต้องเป็นหนี้ ขอเป็นหนี้ที่ทำให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น หรือช่วยเพิ่มรายได้ของครัวเรือน.

บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)

บทความโดย..

ดร. เสาวณี จันทะพงษ์

ประภัสสร เพ็งน้อย  
พันธ์ทิพย์ จันทร์แจ่มแสง

ธนาคารแห่งประเทศไทย