ไปเรียนต่อ ยุคโควิด
วันนี้ ผมเขียนถึงคุณผู้อ่านจากเมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา กว่าจะมาถึงได้ สายตัว (พ่อแม่) แทบขาด
ต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่แล้ว ผมและพินเดินทางมา(เกือบ)ถึงเป้าหมายอย่างปลอดภัย จึงจะเรียบเรียงย้อนหลังเล่าให้ฟังสักนิดว่าเส้นทางทรหดนี้เป็นอย่างไร
บทที่หนึ่ง จดหมายตอบรับ
ปกติบทนี้ มักเป็นบทสุดท้ายของการไปเรียน Out-of-Thailand เพราะพอโรงเรียนแจ้งว่ารับ ญาติมิตรทุกคนก็ร้องเย้ๆ ออกไปกินข้าวนอกบ้านฉลอง เตรียมตัวจัดกระเป๋าไปชอปปิงเสื้อผ้าหน้าหนาวได้ พอเป็นยุคโควิด จดหมายตอบรับกลับกลายเป็นภาระหนักอึ้งของพ่อแม่ เนื่องจากมันทำให้ต้องเผชิญหน้ากับความจริง “ลูกเข้าได้แล้ว จะพาไปส่งโรงเรียนยังไงล่ะทีนี้?”
บทที่สอง วีซ่านักเรียน
การทำวีซ่านักเรียนตามระบบปกติไม่ใช่เรื่องลำบาก แต่ในยุคโรคพิบัติภัย กระบวนการซับซ้อนขึ้นทวีคูณ เริ่มต้นจากเราจะแห่กันไปส่งทั้งครอบครัวแล้วถือโอกาสเที่ยวแบบเดิม ๆ ไม่ได้แล้ว ทั้งประเทศปลายทางคือแคนาดา และประเทศต้นทางคือมาเลเซีย ล้วนระบุชัด “Only one parent can accommodate the child” พ่อกับแม่ก็ต้องเป่ายิ้งฉุบกันว่า ใครจะเป็นคนได้ไป เรื่องนี้ภรรยาผมตัดสินว่า การเดินทางน่าจะลำบากกว่าการจัดเตรียมของ ฉะนั้นพ่อจงไปเถิด
ด้วยผลกระทบจากโควิด การรอวีซ่าจึงตามมาด้วยไม้ยมกอีกหลายๆตัว แคนาดาบอกชัดเจนว่า สมัครน่ะได้นะ เรายินดีเก็บค่าธรรมเนียมของท่าน แต่เราไม่รู้ว่าจะทำเสร็จเมื่อไหร่ กรุณารอไปอย่าบ่น ในเว็บไซต์ มีระบบให้กดดูได้ว่าประมาณการคือ กี่วัน ผมลองใส่มาเลเซียเข้าไปเล่นๆ ตัวเลขที่ขึ้นกลับมาคือจะดำเนินการเสร็จภายใน 187 วัน แม่เจ้า!
สมัครไปเดือนมีนาคม ต้องเดินทางเดือนสิงหาคม กว่าจะได้ผลกลับมาต้นเดือนกรกฎาคม เล่นเอาเหงื่อตก หนำซ้ำมีปัญหาเพิ่มเติมคือ VFS ซึ่งเป็นสำนักงานให้บริการแสตมป์วีซ่าปิดไม่มีกำหนด เนื่องจากมาเลเซียล็อกดาวน์ พระเจ้า วีซ่าได้แล้วแต่คนประทับตรายางมาทำงานไม่ได้ โควิดช่างให้อะไรมากกว่าที่คิด สุดท้ายผมต้องส่งหนังสือเดินทางสองเล่มลงทะเบียนไปถึงสิงคโปร์ ให้ทางโน้นสแตมป์ให้แล้วส่งเอกสารกลับคืนมา
ได้ทุกอย่างเรียบร้อยพร้อมเดินทางอย่างถูกต้อง ก่อนกำหนดเพียงสองสัปดาห์
บทที่สาม การกักตัว
เพิ่มความเร้าใจในการเดินทางคือเรื่องการกักตัว ตอนที่พินรู้ว่าจะไปเรียนต่อ แคนาดามีกฎเหล็กห้ามนักท่องเที่ยวเข้า คนมีกิจธุระสำคัญ หรือกระทั่งคนแคนาดาเอง หากจะเข้าประเทศ นอกจากสแตนดาร์ดการตรวจโรคก่อนขึ้นเครื่องบินแล้ว มาถึงยังต้องกักตัวในโรงแรมของรัฐทันที 3 คืนระหว่างรอผลโควิดจากสนามบิน หลังจากนั้นก็ต้องย้ายไปหาที่พักแบบกักตัวอีก 11 คืน รวมเป็น 14 คืน
ขากลับ (ของพ่อ) ก็มีปัญหาอีก เพราะมาเลเซียก็เข้มงวดเรื่องการเดินทางเข้าไม่แพ้กัน ก่อนอื่น จะเดินทางมาได้ต้องยื่นขอใบอนุญาตออกและเข้าประเทศซึ่งมีอายุ 3 เดือน ถ้าไม่มีจะไม่สามารถแม้แต่จะขึ้นเครื่องเดินทางออกมา ตอนกลับเข้าไปก็ต้องยื่นเจ้าหนังสือที่ว่านี้ ไม่งั้นถูกส่งกลับต้นทาง ตรวจโควิดก่อนขึ้นเครื่อง ตรวจโควิดตอนลงเครื่อง หลังจากนั้นเข้าโรงแรมกักตัวอีก 14 วัน
เฉพาะกักตัวล้วนๆ นี่ก็หมดไปเดือนหนึ่งแล้ว ขอบคุณปีแห่งโควิดที่พ่อมีวันลาเหลือเฟือ
บทสุดท้าย ตั๋วเครื่องบิน
ทุกอย่างพร้อมแล้ว เอกสารครบ วันลาอนุมัติ สองพ่อลูกเตรียมเดินทาง แต่ว่ามีเสียงอีเมล์แจ้งเตือน ไฟลท์ท่านยกเลิก ไม่มีปี่ขลุ่ยไม่มีคำอธิบายใดๆ นัยว่าโลกของโควิดยูก็รู้กันอยู่ มีให้เลือกสองทางคือ เลิกแล้วต่อกันเอาเงินคืนไป หรือว่าจะบุ๊คใหม่เท่าที่ไฟลท์มี ผมดูท่าแล้วตารางบินของ Cathay ดูเวิ้งว้าง เหลือที่ไปได้ทันเวลาอีกแค่ไฟลท์เดียว แล้วขืนประวัติศาสตร์ซ้ำรอยโดนเทอีก ที่ทำมาทั้งหมดจะเสียเปล่า
เลยตัดสินใจเปลี่ยนสายการบิน ย้ายไปสายการบินการ์ตาแทน ทว่าเขาไม่บินเข้าแคนาดา เราจึงต้องไปซีแอทเทิลก่อนแล้วหาเครื่องต่อเข้าแวนคูเวอร์ ภรรยาผมเลยเกิดปิ๊งไอเดีย (จากการส่องไอจีดารา) ว่า งั้นให้ฉีดวัคซีนเข็มแรกก่อนเลยเพราะอเมริกาไม่ต้องกักตัว เราจึงลงเครื่องแล้วโอ้เอ้อยู่ 4 -5 วันให้พินได้ไฟเซอร์สำหรับเด็กอายุยังไม่ถึง 18 แล้วค่อยบินเข้าแคนาดา ออกมาจากกักตัวจะได้เตรียมฉีดเข็มสองเลย พร้อมเข้าเรียนไม่ต้องเสียเวลา
นี่ล่ะครับเส้นทางแห่งผู้นำอย่างแท้จริง อุปสรรคมากมายแต่เพื่อลูกเพื่อความสุขของเมีย เราทำจนได้สำเร็จล่ะครับ!