ประวัติศาสตร์ในอนาคต
ประวัติศาสตร์เป็นรากฐานให้เติบโตอย่างมีศักดิ์ศรีและความภาคภูมิใจในตัวเอง
ท่ามกลางการผ่อนคลายของมาตรการควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 ในหลายๆ ประเทศทำให้นักท่องเที่ยวเริ่มวางแผนเดินทางกันบ้างแล้ว
หลังจากต้องอยู่แต่ในบ้านตัวเองตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา ทำให้ผมเริ่มขบคิดถึงการเดินทางไปต่างประเทศในอดีตซึ่งมีแง่มุมที่นำมาขบคิดได้มากมาย
สถานที่โปรดปรานของผมเมื่อเดินทางไปยังประเทศต่างๆ คือ “พิพิธภัณฑ์” แห่งชาติของประเทศนั้นๆ เพราะผมเชื่อว่าการทำความเข้าใจในวัฒนธรรมความเป็นมาและรู้จักประวัติศาสตร์ของแต่ละประเทศไม่มีที่ไหนดีไปพิพิธภัณฑ์แน่นอน
หลายประเทศที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนานนับร้อยนับพันปี ก็ย่อมมีศิลปวัฒนธรรม ที่น่าสนใจมากมายให้เราได้ศึกษา อย่างเช่น โบราณสถานและโบราณวัตถุในประเทศกรีซซึ่งเป็นแหล่งอารยะธรรมของโลกในอดีต
แม้จะไม่สมบูรณ์ไปทุกอย่างเพราะบางชิ้นก็ถูกนำไปแสดงในพิพิธภัณฑ์ในประเทศอังกฤษ บ้างก็อยู่ในฝรั่งเศส แต่ที่เหลืออยู่นั้นก็มากพอที่จะให้เราได้สัมผัสถึงความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรนี้ในอดีตกาล
สำหรับคนไทยส่วนใหญ่มักชอบชอปปิงมากกว่าพิพิธภัณฑ์ ทำให้เราไม่ค่อยเข้าใจความแตกต่างทางความคิดของคนต่างภาษาต่างวัฒนธรรมเท่าที่ควร แม้กระทั่งพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติของเราเองก็มักจะเห็นชาวต่างชาติเข้ามาเยี่ยมชมมากกว่าคนไทย
หลายๆ ประเทศที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาไม่ยาวนานเท่ากับประเทศไทย แต่กลับมีความภาคภูมิใจและความพยายามในการรวบรวมโบราณวัตถุต่างๆ ได้อย่างเป็นระบบและมีเทคนิคการนำเสนอที่น่าสนใจจนดึงดูดผู้ชมต่างชาติได้มากมาย
อย่างเช่นในสหรัฐ และเขาก็ยังให้สิทธิ์กับเด็กๆ นักเรียนนักศึกษาได้เข้าชมก่อน เหมือนกับหลายๆ ประเทศในยุโรป ที่เราจะเห็นเด็กๆเหล่านั้นเข้าคิวกันแต่เช้า เพราะตระหนักว่านี่เป็นพื้นฐานในการสร้างความรู้ให้กับเยาวชนของเขาได้ดีที่สุด
ที่สำคัญประวัติศาสตร์ที่แม้จะเกิดจากความแตกต่างในต้นกำเนิดที่แตกต่างกัน แต่เมื่ออยู่รวมกันเป็นสังคมเดียวกัน เมืองเดียวกัน และประเทศเดียวกันแล้วย่อมมีบางสิ่งที่ยึดถือร่วมกันจนกลายเป็นการสร้างความมีส่วนร่วม และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของคนในชาติ
เพราะหากคนในประเทศเกิดมาโดยไม่รู้รากเหง้าของตัวเอง ไม่รู้ว่าบรรพบุรุษมาจากไหน ผ่านความยากลำบากอะไรมาบ้าง ฯลฯ การจะมองเห็นเป้าหมายของประเทศในอนาคตก็คงเป็นเรื่องยาก เพราะไม่มีใครมองเห็นจุดร่วมกันในสังคมที่จะช่วยหล่อหลอมให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและเติบโตไปด้วยกัน
โดยเฉพาะกรณีของความผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ย่อมมีแนวโน้มจะเกิดซ้ำรอยเดิมหากสังคมไม่ได้เรียนรู้เรื่องที่เคยเกิดขึ้น ความเสียหายก็จะตกอยู่กับคนในสังคม เพราะประวัติศาสตร์ก็คือภาพสะท้อนในอดีตที่อาจเกิดเหตุซ้ำรอยได้เสมอหากเราไม่คิดจะแก้ไขปัญหาเดิม ๆ
สำหรับประเทศไทยที่ถือได้ว่า ร่ำรวยด้วยมรดกทางวัฒนธรรมที่สืบทอดมาตั้งแต่ยุคสุโขทัย อยุธยา ธนบุรี จนมาถึงกรุงรัตนโกสินทร์ หากคนรุ่นใหม่ไม่เข้าใจความเป็นมาของชาติก็ย่อมไม่เข้าใจตัวตนของเราในยุคปัจจุบันซึ่งถือเป็นเรื่องน่ากังวลไม่น้อย
หากไม่รู้ว่าตัวเอง หรือสังคมที่ตัวเองอยู่มีจุดเด่นคืออะไร คนในชาติมีบุคลิกเป็นแบบไหน ก็ย่อมมองไม่ออกว่าตัวเองในอนาคตจะเป็นอย่างไร และประเทศชาติจะพัฒนาไปทางไหน เพราะนั่นคือ Core Value หรือแก่นแท้ของคนในชาติ
ประวัติศาสตร์จึงไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของอดีต แต่มันอยู่ในตัวตนของเราและเป็นรากฐานให้เราเติบโตไปสู่อนาคตได้อย่างมีศักดิ์ศรีและความภาคภูมิใจในตัวเอง