ไม่เห็นหน้า ไม่มีผลงาน

ไม่เห็นหน้า ไม่มีผลงาน

ผลสำรวจมากมายทั่วโลกเรื่องรูปแบบการทำงานในอนาคต (Future of Work) แทบทุกสำนักระบุว่าการทำงานแบบไฮบริดเป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้ ต้องผสมผสานระหว่างการทำงานที่บ้าน (Work from Home) ทำงานในออฟฟิศ (Work from Office) และทำงานจากที่ไหนก็ได้ (Work from Anywhere)

ในสหรัฐอเมริกา ก่อนโควิดมีพนักงาน 5% ทำงานจากที่ไหนก็ได้ แต่หลังโควิดสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 40% ก่อนโควิดพนักงาน 27% มีเวลาทำงานแบบยืดหยุ่น แต่หลังโควิดเปอร์เซ็นต์สูงขึ้นเป็น 88% ตัวเลขนี้กำลังบ่งชี้หรือไม่ว่าการทำงานจากที่บ้าน หรือทำงานแบบยืดหยุ่นไม่จำกัดเวลาเป็นเรื่องที่พนักงานยุคนี้ให้ความสำคัญ

ผมว่ายังเร็วเกินไปที่จะสรุปว่าควรทำงานจากที่ใด การ Work from Home หรือทำงานแบบไฮบริดจะเกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับประเภทของธุรกิจ วัฒนธรรมองค์กร และสำคัญที่สุดคือ “เจ้านาย”

การทำงานจากที่บ้านหรือนอกออฟฟิศอาจทำให้พนักงานผ่อนคลายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่สิ่งที่ขาดหายไปคือความสัมพันธ์ระหว่างคนทำงาน ความคุ้นเคย ความผูกพันเมื่อเจอหน้า การใช้ภาษากายในการปฏิสัมพันธ์ สายตาที่แสดงความเชื่อมั่น สัมผัสที่แสดงความห่วงใย ทำให้ผู้ร่วมงานหรือผู้บังคับบัญชารับรู้อย่างชัดเจนโดยไม่ต้องเดาความหมายผ่านหน้าจอ

การไม่เห็นหน้าค่าตาเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่สำคัญ

บทความจาก Harvard Business Review กล่าวถึงข้อสังเกตุเรื่องรูปแบบการทำงานจากที่บ้านเป็นระยะเวลายาวนานในช่วงโควิด พบว่า พนักงานทำงานเป็นแบบไซโลมากขึ้น แยกตามส่วนงาน ทำให้ไม่เชื่อมต่อกัน ตัวอย่างที่ถูกหยิบยกมาพูดถึง คือการแชทบนแพลตฟอร์มออนไลน์ ว่าแทนที่จะส่งข้อความหาทุกคนที่เกี่ยวข้อง คนส่วนมากเลือกส่งข้อความส่วนตัวให้คนเพียงคนเดียว นั่นหมายถึงโอกาสทำให้เกิดไอเดียใหม่ นวัตกรรมใหม่ ลดลงไปด้วย นอกจากนั้น เทรนด์การทำงานจากบ้านนี้ ทำให้พนักงานรู้สึกโดดเดี่ยวและผูกพันกับองค์กรน้อยลงอย่างมาก

การทำงานล่วงเวลาในออฟฟิศ อยู่ปิดบัญชีจนมืดค่ำ เข้าร่วมประชุมตรงเวลา ถามคำถาม แสดงแนวคิดพร้อมแก้ปัญหาอย่างขยันขันแข็ง ย่อมสร้างความประทับใจให้กับทุกคนในที่ทำงานโดยเฉพาะเจ้านายทุกระดับ

ความพยายาม ตั้งใจทุ่มเท มุ่งมั่นทำงาน ย่อมส่งผลต่อการประเมินผลของหัวหน้าเป็นอย่างมาก

นอกจากนั้น การพูดคุยนอกเหนือจากเรื่องงาน ความห่วงใย มีน้ำใจ อาจส่งผลต่อการประเมินศักยภาพของพนักงานอีกด้วย ความก้าวหน้าในหน้าที่การงานอาจไม่ได้วัดจากความสำเร็จของงานเพียงด้านเดียว

เจ้านายบางคนชอบเดินตรวจงาน สนุกกับการสนทนากับพนักงาน ชอบเห็นงานคืบหน้า สังเกตการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมและปฏิกิริยาของคนรอบข้าง การทำงานจากที่ห่างไกล มองไม่เห็นสภาพการทำงานย่อมไม่อาจทดแทนอีกหลายมิติที่เคยมีต่อกันได้

ตราบที่บริษัทยังไม่สามารถพัฒนาระบบติดตามงาน หรือมีวิธีวัดเป้าหมายงานอย่างมีประสิทธิภาพ การทำงานที่บ้านหรือนอกบ้านย่อมไม่สามารถทดแทนการทำงานในออฟฟิศที่ใกล้ชิดผู้บริหารได้

แน่ใจอย่างไรว่า การทำงานในอนาคตแบบไกลตัวจะสร้างความยุติธรรมให้กับพนักงานทุกคน

ตราบใดที่ยังไม่สามารถบังคับทุกคนให้ทำงานจากที่บ้านได้ ตราบนั้นความเท่าเทียมกันของคนที่ทำงานในออฟฟิศ มีโอกาสใกล้ชิดผู้บริหาร ย่อมสร้างคุณค่าได้มากกว่าคนทำงานที่ห่างไกลผู้บังคับบัญชาความรู้สึกว่า “ไม่เห็นหน้าก็แปลว่าไม่มีผลงาน” ยังเป็นความรู้สึกที่ไม่อาจขจัดสิ้นไปจากจิตใจหัวหน้าได้

อนาคตจะมีการทำงานแบบไหนยังเป็นเรื่องที่ต้องถกเถียงกันอีกสักพักหลังโควิดครับ