การถอนชื่อสมาคมออกจากทะเบียน | สกล หาญสุทธิวารินทร์
สมาคมอาจถูกศาลสั่งเลิกหรือถูกนายทะเบียนขีดชื่อออกจากทะเบียน ก็ได้ เมื่อปรากฏว่าวัตถุประสงค์ของสมาคมผิดต่อกฎหมายหรือกลายเป็นผิดต่อกฎหมาย
การจัดตั้งสมาคมตามกฎหมายไทย อาจจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายเฉพาะ คือ สมาคมการค้า ตามพระราชบัญญัติสมาคมการค้า พ.ศ.2509 ในความรับผิดชอบของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์หรือสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ตามพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. 2545ในความรับผิดชอบของกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
หรือสมาคมนายจ้าง ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์พ.ศ.2518 ในความรับผิดชอบของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน หรือสมาคมพนักงานรัฐวิสาหกิจ ตามพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์พ.ศ.2534 ในความรับผิดชอบของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน หรือสมาคมกีฬา ตามพระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทยพ.ศ.2458 ในความรับผิดชอบของการกีฬาแห่งประเทศไทย กระทรวงท่องเที่ยวและการกีฬาก็ได้
นอกจากการจัดตั้งสมาคมตามกฎหมายเฉพาะดังกล่าวแล้ว ยังอาจจัดตั้งสมาคมที่ไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายเฉพาะ โดยจัดตั้งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ก็ได้ บทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่เกี่ยวกับสมาคม แต่เดิมบัญญัติไว้ในบรรพ 3เอกเทศสัญญา ลักษณะ23 สมาคม ตั้งแต่มาตรา1274ถึงมาตรา1297
ตามบทบัญญัติในลักษณะ23 สมาคมอาจถูกศาลสั่งเลิกหรือถูกนายทะเบียนขีดชื่อออกจากทะเบียน ก็ได้ เมื่อปรากฏว่าวัตถุประสงค์ของสมาคมผิดต่อกฎหมายหรือกลายเป็นผิดต่อกฎหมาย กรณีนี้พนักงานอัยการหรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอาจร้องขอต่อศาลให้สั่งเลิกสมาคมดังกล่าวได้ ตามมาตรา1293 หรือนายทะเบียนอาจขีดชื่อสมาคมนั้นออกจากทะเบียนตาม มาตรา 1293 ทวิเมื่อปรากฏว่า วัตถุที่ประสงค์หรือกิจการของสมาคมเป็นภัยอันตรายต่อสันติภาพของประชาชน หรือจะก่อความไม่สงบเรียบร้อยในบ้านเมือง ในกรณีนี้ นายทะเบียนอาจสั่งขีดชื่อสมาคมนั้นออกจากทะเบียนได้
ในปี พ. ศ . 2535 มีการตราพระราชบัญญัติให้ใช้บรรพ1 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ.2535 บทบัญญัติที่เกี่ยวกับสมาคมเดิม ลักษณะ23 ของบรรพ3 ถูกยกเลิก และบัญญัติไว้ในบรรพหนึ่งใหม่ ตั้งแต่มาตรา78ถึงมาตรา109 โดยมีบทเฉพาะกาลให้สมาคมที่จดทะเบียนไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เดิม เป็นสมาคมตามบรรพ1 ที่แก้ไขใหม่
บทบัญญัติที่เกี่ยวกับสมาคมตามบรรพ1 ที่ชำระใหม่ ก็มีบทบัญญัติที่สมาคมอาจถูกนายทะเบียนสั่งถอนชื่อออกจากทะเบียนได้ หรือถูกศาลสั่งให้เลิกสมาคมเมื่อมีการดำเนินการที่ผิดกฎหมายในกรณีดังนี้
ถูกนายทะเบียนสั่งถอนชื่อออกจากทะเบียนตามมาตรา102
เมื่อปรากฏในภายหลังว่าวัตถุประสงค์ของสมาคมขัดต่อกฎหมายหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรืออาจเป็นภยันตรายต่อความสงบสุขของประชาชนหรือความมั่นคงของรัฐ และนายทะเบียนสั่งให้แก้ไขแล้วแต่สมาคมไม่ปฏิบัติตามภายในระยะเวลาที่กำหนด หรือ
เมื่อปรากฏว่าการดำเนินกิจการของสมาคมขัดต่อกฎหมายหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรืออาจเป็นภยันตรายต่อความ สงบสุขของประชาชนหรือความมั่นคงของรัฐ หรือ
เมื่อปรากฏว่าสมาคมให้หรือปล่อยให้บุคคลอื่นซึ่งมิใช่กรรมการของสมาคมเป็นผู้ดำเนินกิจการของสมาคม
ถูกศาลสั่งให้เลิก
เมื่อมีกรณีตามมาตรา102 ประชาชนในฐานะผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย อาจร้องขอให้นายทะเบียนถอนชื่อสมาคมออกจากทะเบียนได้ ถ้านายทะเบียนไม่ปฏิบัติตามคำร้องขอโดยไม่แจ้งเหตุผลให้ผู้ร้องทราบในเวลาอันสมควร หรือแจ้งเหตุผลให้ทราบแล้ว แต่ผู้ร้องไม่พอใจเหตุผลดังกล่าว ผู้ร้องขอจะร้องต่อศาลให้สั่งเลิกสมาคมนั้นได้ตามที่บัญญัติในมาตรา104
แนวคำพิพากษาศาลฎีกากรณีขีดชื่อสมาคมออกจากทะเบียน
ที่ผ่านมา ก็มีกรณีขีดชื่อสมาคมออกจากทะเบียน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ ลักษณะ 23 เป็นคดีสู่การพิจารณาของศาลฎีกา ที่อาจใช้พิจารณาเป็นแนวทางได้ว่าหากสมาคมมีการดำเนินการที่ผิดกฎหมายหรือเป็นภยันตรายต่อความสงบสุขของประชาชนหรือความมั่นคงของรัฐ เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจตามกฎหมายก็สามารถขีดชื่อสมาคมนั้นออกจากทะเบียนหรือศาลสั่งเลิกสมาคมนั้นได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที 8 5771/2533 วินิจฉัยว่า สมาคมโจทก์มีวัตถุประสงค์ดำเนินกิจการเพื่อเผยแพร่ศาสนาอยู่ภายใต้บังคับพระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2485 จะต้องปฏิบัติตามข้อบังคับของสภาวัฒนธรรมแห่งชาติ เรื่อง ควบคุมสมาคมและองค์การต่างๆ
การที่สมาคมโจทก์ไม่แจ้งจำนวนสมาชิกทุกประเภท และรายชื่อกรรมการไม่รายงานกิจการที่สมาคมได้ดำเนินการไปต่อจำเลยที่ 1 อันเป็นการขัดต่อข้อบังคับดังกล่าว ไม่แจ้งจำเลยที่ 1 ภายในกำหนดว่าประสงค์จะดำเนินกิจการอีกต่อไป ทั้งสมาชิกของสมาคมโจทก์มีความแตกแยกเป็นหลายฝ่ายถึงขั้นแจ้งความจับกุมสมาชิกซึ่งกันและกัน นำคดีมาฟ้องร้องต่อศาลหลายคดี
อันเป็นการก่อให้เกิดความไม่สงบในบ้านเมือง และขัดต่อวัตถุประสงค์ดังกล่าวางต้นเป็นที่เสียหายแก่สมาคมโจทก์ จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ควบคุมดูแลสมาคมโจทก์ย่อมมีอำนาจสั่งเพิกถอนการอนุญาตที่ให้ไว้แก่สมาคมโจทก์ได้การกระทำของจำเลยที่ 1 ไม่เป็นการละเมิดโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่1267/2527 วินิจฉัยว่าเหตุที่ผู้ว่าราชการจังหวัดจำเลยที่ 1 ขีดชื่อสมาคมซึ่งโจทก์เป็นเจ้าหน้าที่ดูแลออกจากทะเบียนสมาคม และจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนายอำเภอได้เข้าควบคุมกิจการและทรัพย์สินของสมาคมและมูลนิธิ ก็เพราะสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.วัฒนธรรมแห่งชาติฯ เพิกถอนใบอนุญาตให้จัดตั้งสมาคมและมูลนิธิ
เนื่องจากร่วมกันกระทำการเป็นไปในทางนำความเสื่อมเสียมาสู่วัฒนธรรมของชาติและร่วมกระทำการอันอาจเป็นภัยกับความมั่นคงของชาติ พ.ร.บ.ดังกล่าวเป็นกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนดังนั้นเมื่อคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวของโจทก์มีวัตถุประสงค์ที่จะให้มูลนิธิและสมาคมได้ดำเนินการตามวัตถุประสงค์ต่อไป จึงยังไม่มีเหตุเพียงพอที่จะนำวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษามาคุ้มครองให้โจทก์
การถอนชื่อหรือให้ศาลสั่งเลิกสมาคมตามกฎหมายในปัจจุบัน
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่เกี่ยวกับสมาคมที่ใช้ในปัจจุบัน หากปรากฏว่าสมาคมใด มีการดำเนินกิจการที่ขัดต่อกฎหมายหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรืออาจเป็นภยันตรายต่อความ สงบสุขของประชาชนหรือความมั่นคงของรัฐ เป็นอำนาจของนายทะเบียนที่จะสั่งถอนชื่อสมาคมนั้นออกจากทะเบียน ตามมาตรา102
ขณะเดียวกันประชาชนในฐานะผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอาจร้องขอให้นายทะเบียนถอนชื่อสมาคมออกจากทะเบียนได้ ถ้านายทะเบียนไม่ปฏิบัติตามคำร้องขอโดยไม่แจ้งเหตุผลให้ผู้ร้องทราบในเวลาอันสมควร หรือแจ้งเหตุผลให้ทราบแล้ว แต่ผู้ร้องไม่พอใจเหตุผลดังกล่าว ผู้ร้องขอจะร้องต่อศาลให้สั่งเลิกสมาคมนั้นได้ตามที่บัญญัติในมาตรา104 ได้อีกทางหนึ่ง