Net Zero เป้าหมายที่ไม่ทิ้ง SMEs ไว้ข้างหลัง | วาระทีดีอาร์ไอ
เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2065 และการเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050 ที่ไทยประกาศไว้ในการประชุม COP26 ถือเป็นเป้าหมายที่ท้าทาย และต้องอาศัยแรงผลักดันมากกว่าแค่นโยบายของภาครัฐ
ผู้เล่นสำคัญที่จะช่วยให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายท้าทายนี้ คือ กลุ่มธุรกิจ ซึ่งมีศักยภาพสูงในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ในรายงานของโครงการพลังงานสะอาด เข้าถึงได้และมั่นคงสำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (CASE) ระบุว่า หน่วยงานในภาคธุรกิจและภาคประชาสังคม ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมกันเทียบเท่ากับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมของประเทศไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนามในปี ค.ศ. 2019
ที่ผ่านมาภาคธุรกิจขนาดใหญ่หลายรายทั้งในไทยและต่างประเทศได้ส่งสัญญาณและเริ่มปรับตัวเพื่อบรรลุเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจก ไปสู่ธุรกิจยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
เนื่องมาจากแรงกดดันจากการเปลี่ยนแปลงภายนอกหลายอย่าง เช่น ความคาดหวังของนักลงทุนให้ดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีธรรมาภิบาลที่ดีตามแนวทาง Environmental, Social , Governance (ESG) พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป บทบาทของธุรกิจที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลที่ลดน้อยลงเรื่อย ๆ
และแนวโน้มการกีดกันสินค้าและบริการที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงผ่านมาตรการทางการค้าระหว่างประเทศต่าง ๆ เช่น Carbon Border Adjustment Mechanism (CBAM) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญทำให้ธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีความพร้อม เดินหน้าปรับตัวเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน
แรงกดดันจากภายนอก เช่น การบังคับใช้มาตรการ CBAM ไม่เพียงแต่ กระทบธุรกิจขนาดใหญ่ที่ส่งออกสินค้าไปยังประเทศในสหภาพยุโรป แต่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่อยู่ในห่วงโซ่การผลิตของธุรกิจใหญ่ ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน
เพราะการคำนวณปริมาณการปล่อยคาร์บอนใต้มาตรการ CBAM จะคิดทั้งวงจรการผลิตสินค้า
ในไม่ช้า SMEs จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกกดดันจากบริษัทใหญ่ทั้งในและต่างประเทศให้ลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยออกมาจากกิจกรรมต่าง ๆ ในการประกอบธุรกิจ (carbon footprint)
สำหรับ SMEs การปรับตัวที่จะช่วยลด carbon footprint ได้มากที่สุด คือการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และการผลิตไฟฟ้าใช้เองจากพลังงานหมุนเวียน เช่น ระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงที่ติดตั้งบนหลังคา (solar rooftop)
ซึ่งการปรับเปลี่ยนดังกล่าวนอกจากจะช่วยให้ SMEs สามารถลด carbon footprint ได้แล้ว SMEs ยังได้ผลประโยชน์โดยตรงจากการที่ต้นทุนพลังงานลดลงอีกด้วย
ปัจจุบันภาครัฐของไทยมีกลไกส่งเสริมให้ SMEs ปรับตัวไปสู่ธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น มาตรการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในภาคอุตสาหกรรม
โดยส่งเสริมให้ SMEs ดำเนินกิจกรรมการประหยัดพลังงานด้วยตนเอง การให้คำปรึกษา สร้างความรู้ความเข้าใจด้านการอนุรักษ์พลังงาน และการสนับสนุนเงินทุนปรับเปลี่ยนเครื่องจักรอุปกรณ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และการใช้พลังงานทดแทน เช่น การติดตั้ง solar rooftop ฯลฯ
โดยมีสิทธิประโยชน์และแรงจูงใจ ได้แก่ การยกเว้นภาษีนำเข้าสำหรับเครื่องจักร และการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ภายใต้นโยบายส่งเสริมการลงทุนของ BOI
ภาคเอกชนก็ได้เริ่มสร้างกลไกสนับสนุน SMEs ลดการปล่อยคาร์บอน เช่น กลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน สภาอุตสาหกรรม ได้ร่วมมือกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก วางแผนก่อตั้งสถาบันบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกแบบครบวงจร โดยมีเป้าหมายสนับสนุนให้ SMEs เข้าถึงพลังงานสะอาดได้ 100% เพื่อลดการปลดปล่อยคาร์บอนในห่วงโซ่อุปทาน
นอกจากนี้ ธนาคารพาณิชย์หลายแห่ง ยังมีสินเชื่อสีเขียว (Green credit) เพื่อให้ธุรกิจปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และติดตั้ง solar rooftop อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม การศึกษาเบื้องต้นของโครงการ Green Industry (GI) โดยองค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (UNIDO) พบว่า SMEs ส่วนใหญ่ยังไม่มีการปรับตัวเพื่อลด carbon footprint เท่าใดนัก
เนื่องจากประเด็นนี้ยังไม่ถูกให้ความสำคัญและยังขาดบุคลากรที่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน รวมไปถึงวิธีการประเมินผลประโยชน์ตัวเงินจากการลงทุนในเทคโนโลยีเหล่านี้ เช่น ค่าไฟฟ้าที่ลดลง ทำให้การตัดสินใจลงทุนหรือกู้ยืมเพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิตเป็นไปได้ยาก
นอกจากนี้ยังมีอุปสรรคในการเข้าถึงมาตรการส่งเสริมที่มีอยู่ เช่น การขาดข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการส่งเสริม รวมถึงขั้นตอนในการดำเนินการและเอกสารที่เกี่ยวข้องยังมีความยุ่งยาก และธนาคารพาณิชย์หลายแห่งที่แม้จะมีสินเชื่อสีเขียว แต่มักประเมินความเสี่ยง SMEs สูง เพราะธนาคารอาจยังไม่มีความเชี่ยวชาญในการประเมินความเสี่ยงของเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ จึงส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินของ SMEs สูงตามไปด้วย
หากดูตัวอย่างนโยบาย/มาตรการในต่างประเทศที่ประสบความสำเร็จในการส่งเสริมให้ SMEs ปรับตัว พบว่า มีหลายมาตรการคล้ายกับไทยแต่ยังมีมาตรการเพิ่มเติมที่ช่วยให้ SMEs มากยิ่งขึ้น
เช่น ประเทศออสเตรีย พัฒนาแพลตฟอร์มให้ SMEs เป็นสมาชิกได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำร่วมกัน ประเทศสาธารณรัฐเช็คสนับสนุน SMEs โดยการจัดสัมมนาในหัวข้อต่าง ๆ เช่น “Sustainable SME Entrepreneurship” เป็นต้น และในประเทศอิตาลี องค์กร SACE ซึ่งเป็น Italian Export Credit Agency ให้การสนับสนุนธุรกิจ SMEs ในการเข้าถึงเงินทุน โดยการให้ Green Guarantee เป็นต้น
จากตัวอย่างในต่างประเทศ และอุปสรรคของ SMEs ไทย ทำให้เห็นว่า การส่งเสริม SMEs ในไทย ต้องอาศัยมาตรการเพิ่มเติม ได้แก่
- การสร้างความตระหนักให้ SMEs ว่าการปรับตัวสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำจะช่วยลดต้นทุนในระยะยาว
- การประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์และมาตรการส่งเสริม ทั้งของภาครัฐ/เอกชน และการค้ำประกันสินเชื่อ เพื่อลดต้นทุนทางการเงินของ SMEs เมื่อกู้ยืมจากธนาคารพาณิชย์
- การลดขั้นตอน เอกสารในการสมัครขอรับการส่งเสริม โดยอาจตั้ง one-stop service สำหรับ SMEs ที่ต้องการปรับตัวสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำ ตั้งแต่การให้คำปรึกษา ชี้แนะทางเลือกเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ ประเมินความคุ้มค่า แหล่งเงินทุน การจัดเตรียมเอกสารรับการส่งเสริม
ดังเช่น ระบบ one-stop service ที่พัฒนาขึ้นจากความร่วมมือระหว่างกรมพัฒนาธุรกิจการค้าและกรมสรรพากร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกผู้ที่ต้องการจดทะเบียนนิติบุคคลให้สามารถดำเนินงานด้านเอกสารเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่มทั้งหมดได้ในจุดเดียว
Net-zero เป็นวาระระดับโลกที่ต้องการส่วนร่วมจากทุกฝ่ายและการผลักดันอย่างจริงจัง ไม่เว้นแม้กระทั่ง SMEs และภาคประชาชน หากมีเพียงภาครัฐและธุรกิจขนาดใหญ่ ที่มีส่วนร่วมหรือแสดงบทบาทต่อวาระดังกล่าว การบรรลุเป้าหมาย Net zero ของไทย ภายในปี 2065 ก็คงเป็นไปได้ยาก.
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการพลังงานสะอาด เข้าถึงได้ และมั่นคงสำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (CASE) ดำเนินการโดยองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) และองค์กรเชี่ยวชาญทั้งในประเทศและต่างประเทศ สนับสนุนโดยกระทรวงสิ่งแวดล้อม คุ้มครองธรรมชาติ และความปลอดภัยทางปรมาณู สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี (BMU)
คอลัมน์ วาระทีดีอาร์ไอ
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI)
ดร. กรรณิการ์ ธรรมพานิชวงค์
ดร.วิชสิณี วิบุลผลประเสริฐ