ประวัติศาสตร์และมนุษยชาติจะสิ้นสุดจากสงครามยูเครน? | ไสว บุญมา
ปีนี้เป็นวาระครบรอบ 10 ปีของการจบรอบใหญ่ในปฏิทินมายาและครบรอบ 30 ปีของการพิมพ์หนังสืออันโด่งดังของนักวิชาการด้านปรัชญาการเมือง ฟรานซิส ฟูกุยามา เรื่อง The End of History and the Last Man
ก่อนการครบรอบใหญ่ในปฏิทินดังกล่าวเมื่อปี 2555 มีผู้เข้าใจผิดคิดว่าชาวมายาทำนายว่าโลกจะแตกสลายในปีนั้น ความเข้าใจผิดถูกเผยแพร่อย่างกว้างขวางก่อให้เกิดความกังวลในชนหลายกลุ่มในช่วงที่ปี 2555 เคลื่อนใกล้เข้ามา
นักสร้างภาพยนตร์ถือโอกาสนำประเด็นนี้ไปใช้เป็นจุดดึงดูดใจในการสร้างภาพยนตร์เรื่อง “2012” ซึ่งออกฉายในปี 2552 ภาพยนตร์เป็นที่สนใจจึงทำกำไรให้แก่ผู้สร้างอย่างงดงาม อย่างไรก็ตาม โลกไม่แตกสลายในปีนั้น วันนี้จึงไม่มีการอ้างถึงเรื่องราวดังกล่าวอีก
ชื่อของหนังสือ The End of History and the Last Man ที่อ้างถึงซึ่งแปลตรง ๆ ว่า “สิ้นสุดประวัติศาสตร์และมนุษย์” กระตุกความสนใจได้มากและถูกวิพากษ์อย่างเข้มข้น แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความสนใจจางหายไปหมด สงครามในยูเครนชี้ว่าน่าจะนำประเด็นในหนังสือกลับมาพิจารณาอีกครั้งพร้อมทั้งลองมองเฉพาะชื่อหนังสือโดยไม่ต้องดูนัยทางปรัชญาว่าน่าจะเป็นอย่างไร
หนังสือพัฒนามาจากบทความชื่อ The End of History ซึ่งพิมพ์เมื่อปี 2532 อันเป็นช่วงเริ่มต้นของการเดินเข้าสู่ภาวะแตกสลายขั้นสุดท้ายของสหภาพโซเวียต การแตกสลายนั้นนำไปสู่การสิ้นสุดของสงครามเย็นระหว่างผู้ใช้การปกครองตามแนวคิดคอมมิวนิสต์กับแนวคิดประชาธิปไตย
History ในบทความนั้นมิได้หมายถึง “ประวัติศาสตร์” ดังที่เข้าใจกันโดยทั่วไป หากหมายถึงวิวัฒนาการด้านแนวคิดที่มนุษย์พยายามแสวงหามาใช้ปกครองสังคมของตน
ในวิวัฒนาการอันยาวนานนี้มีแนวคิดต่าง ๆ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โลกจึงมี 2 แนวคิดหลักที่ช่วงชิงความเป็นใหญ่จนนำไปสู่สงครามเย็น
เมื่อฝ่ายใช้แนวคิดคอมมิวนิสต์พ่ายแพ้ นายฟูกุยามามองว่าต่อไปแนวคิดประชาธิปไตยเท่านั้นที่ชาวโลกจะใช้ปกครองประเทศ มันเป็นแนวการปกครองที่สนองการแสวงหาของมนุษย์และเป็นการปกครองที่ดีที่สุดสำหรับมนุษยชาติ ด้วยเหตุนี้ วิวัฒนาการด้านแนวคิดการปกครองจะจบลงซึ่งเป็นนัยของ The End of History หรือ “สิ้นสุดประวัติศาสตร์”
นายฟูกุยามาเพิ่ม “and the last man” เข้าไปเมื่อนำบทความนั้นมาขยายให้เป็นหนังสือ นัยของ the last man คือ เมื่อชาวโลกได้การปกครองที่ดีที่สุดสำหรับตน ความกังวลและการแข่งขันกันในด้านนี้จึงหมดไปส่งผลให้มนุษย์สามารถพัฒนาไปสู่ความอยู่ดีกินดีได้อย่างทั่วถึงกัน
เมื่อเป็นเช่นนั้น ชาวโลกย่อมหมดความจำเป็นที่จะต้องแย่งชิงกัน อิจฉาริษยากัน ฯลฯ นั่นหมายความ ว่ามนุษย์ชนิดที่เราคุ้นเคยซึ่งมักครอบงำด้วยกิเลสจะ “สิ้นสุด” หรือไม่มีเหลืออยู่บนโลกอีกต่อไปทำให้ชาวโลกมีความพอใจอย่างยั่งยืน
ถึงตอนนี้ผู้ที่มีความรอบรู้เกี่ยวกับเรื่องยุคพระศรีอริยเมตไตรยคงตระหนักทันทีว่า บุคคลในมุมมองของนายฟูกุยามานั้นเหมือนกับบุคคลในยุคพระศรีอริยเมตไตรย เนื่องจากเรื่องพระอริยเมตไตรยบ่งว่าเวลาจะต้องผ่านไปนับโกฏิปีก่อนที่พระศรีอริเมตไตรยจะมาอุบัติ
จึงอาจมีคำถามว่าอะไรจะเกิดขึ้นก่อนถึงวันนั้น หรือว่าขณะนี้ใกล้ถึงวันที่เวลานับโกฏิปีนั้นได้ผ่านไปแล้ว หรืออาจมองว่าใกล้วันที่พระศิวะจะเบิกพระเนตรดวงที่ 3 เพื่อจุดไฟบรรลัยกัลป์ล้างความชั่วร้ายให้พ้นไปจากโลกแล้ว? คำถามตามแนวนี้อาจมีคำถามตามมาไม่น้อยกว่าจำนวนคำตอบ อย่างไรก็ตาม ในภาวะโลกปัจจุบัน เชื้อไฟบรรลัยกัลป์มีพร้อมแล้วได้แก่ อาวุธนิวเคลียร์นับหมื่นชิ้นที่กระจัดกระจายอยู่ในส่วนต่างๆ ของโลก
ผู้จะจุดชนวนเชื้อไฟได้คือ ผู้นำของประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์อยู่ในครอบครอง สงครามในยูเครนก่อให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงและดูแคลนกันระหว่างผู้นำบางคนในกลุ่มนี้ พร้อมกันนั้นก็มีผู้ถือหางทั้งสองฝ่ายและผู้ดูจะอยู่เงียบ ๆ แต่ยุแยงให้คู่ขัดแย้งทำลายกันเพราะหวังว่าตนจะได้ครองโลกต่อไป
ในภาวะเช่นนี้ หากมีผู้นำเสียสติเล่นบทพระศิวะเบิกพระเนตรโดยจุดชนวนอาวุธเหล่านั้น ไฟบรรลัยกัลป์ย่อมล้างโลก นั่นหมายความว่า ทั้งประวัติศาสตร์และมนุษยชาติของโลกปัจจุบันย่อมสิ้นสุดตามชื่อของหนังสือ.