อวสานตลาดกระทิงบอนด์อายุ 4ทศวรรษ
“ยีลด์ขาลง” เป็นหนึ่งในแนวโน้มเก่าแก่ของตลาดที่อยู่กับสินทรัพย์ทั่วโลกมาตั้งแต่ทศวรรษ 1980
แต่ช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเทรนด์นี้กลับอ่อนแรงลงอย่างมาก จนนักลงทุนหลายท่านตั้งคำถามว่ายีลด์ขาลงถึงจุดจบหรืออวสานตลาดกระทิง4ทศวรรษของบอนด์เกิดขึ้นแล้วหรือไม่
แรงสนับสนุนที่กดดันให้ยีลด์เป็นขาลงหายไปไหน และอะไรคือแรงหนุนที่ทำให้ยีลด์จะกลับเป็นขาขึ้นได้ควรเป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องวิเคราะห์และรู้ให้ทันตลาด
(1) องค์ประกอบและการเติบโตระยะยาวยังเป็นเหตุผลหนุนยีลด์ต่ำอยู่
เพราะ “ยีลด์” คือราคาของการเปลี่ยนกำลังซื้อในอนาคตมาเป็นปัจจุบัน ถ้าเศรษฐกิจไม่ต้องลงทุนหรือไม่ต้องการบริโภคเพิ่มในช่วงนี้ ยีลด์ก็ไม่ควรสูง
ล่าสุดทั้งการลงทุนและการบริโภคยังคงเป็นเทรนด์ขาลง เห็นได้จากบทวิเคราะห์ของ National Income and Product Accounts (NIPA) ของสหรัฐที่ประเมินว่าสัดส่วนอุตสาหกรรมที่ต้องมีเงินทุนในการขับเคลื่อนยังเป็นขาลง ในปี 2025 จะลดลงเหลือเพียง “ครึ่งเดียว” เมื่อเทียบกับเศรษฐกิจช่วงปี 1945
ส่วนการเติบโตปัจจุบัน โลกก็พึ่งพาแต่กำลังซื้อของประเทศกำลังพัฒนาเป็นหลัก ถ้าไม่เห็นจีนกลับมาเติบโตสูง หรือมีประเทศอื่นต้องการเป็นผู้นำด้านการบริโภคใหม่ ยีลด์ก็สามารถคงอยู่ในระดับต่ำได้แน่
(2) ความเหลื่อมล้ำด้านรายได้และเงินออมยังไม่เปลี่ยนในระยะเวลาอันสั้น
ในทางทฤษฎี “เงินออมและรายได้” คือปัจจัยหลักที่กำหนดระดับยีลด์ คนรวย ออมเงินเยอะ ยีลด์ก็ต่ำ
แม้ช่วงนี้เราจะเห็นรายได้ของชนชั้นแรงงานสูงขึ้นจากปัญหาการเมืองระหว่างประเทศและการย้ายฐานการผลิต แต่แนวโน้มดังกล่าวก็เพิ่งเริ่มต้นราวปี 2018
ข้อมูลล่าสุดของ Blanchet และคณะ (2022) ชี้ว่า 70% ของความมั่งคั่งยังอยู่ในกลุ่มคนร่ำรวย 10%บน สูงเกือบที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ
จนกว่าสัดส่วนนี้จะลดลงสู่ระดับเหมาะสม เงินออมที่ล้นระบบเหล่านี้ ยังจะกดดันให้ยีลด์อยู่ในระดับต่ำต่อไปได้
แต่ (3) โครงสร้างของประชากรกำลังจะพาเราออกจากภาวะยีลด์ต่ำ
เพราะอายุของชาวโลกมาถึงจังหวะที่เงินใช้จ่ายยามเกษียรสูงกว่าเงินเก็บของนักลงทุนรายใหม่แล้ว
บทวิเคราะห์เรื่อง Long-term forces point to higher US bond yields ของ J.P. Morgan ชี้ว่าเทรนด์นี้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2015 เป็นต้นมา และภายในปี 2030 แรงขายบอนด์จะใกล้เคียงแรงซื้อคล้ายกับช่วงปี 1960 ที่ยีลด์ 10 ปีเคยอยู่ที่ระดับสูงกว่า 5.0%
โควิดและเงินเฟ้อสูงในปัจจุบันอาจยิ่งทำให้เงินเก็บลดลงเร็วและถ้าเงินหมด ภาครัฐอาจต้องมีภาระดูแลประชาชนเพิ่มขึ้น เป็นปัญหาลูกโซ่ที่อาจนำไปสู่การขาดดุลการคลังและยีลด์ที่สูงขึ้น
(4) ตลาดการเงินที่ผันผวนกำลังหนุนให้ยีลด์ปรับฐาน
เพราะเหตุผลในการถือบอนด์ในระยะยาวเริ่มไม่ชัดเจน
อย่างแรก นักลงทุนถือบอนด์ส่วนมากต้องการผลตอบแทนที่ชนะเงินเฟ้อ ด้วยยีลด์ปัจจุบัน แรงซื้อกลุ่มนี้จะกลับมาก็ต่อเมื่อเห็น เงินเฟ้อลง หรือยีลด์สูงกว่าเงินเฟ้อได้ก่อน
สอง ความสัมพันธ์ของราคาหุ้นและบอนด์มักไปในทิศทางเดียวกันในจังหวะที่ดอกเบี้ยนโยบายเป็นขาขึ้น Diversification Opportunity จะหายไป ลดแรงซื้อจากกลุ่มกองทุนผสม
และสุดท้าย เมื่อกระจายความเสี่ยงไม่ได้ เมื่อไหร่ที่หุ้นปรับฐานหรือ Market Risk Premium สูงขึ้น นักลงทุนก็จะต้องการยีลด์ตั้งต้นที่สูงขึ้นลามไปทุกสินทรัพย์
ท้ายที่สุดคือ (5) ระดับหนี้และการเมืองทั่วโลก จากนี้ไม่มีที่ให้ยีลด์ต่ำ
งานวิจัยของ Laubach (2009) พบว่าทุก 1% Debt/GDP ที่เพิ่มขึ้นจะกดดันให้ยีลด์สูงขึ้น 3-4bps ในระยะยาว และหลังโควิดระดับหนี้ภาครัฐสหรัฐอยู่สูงกว่าเดิมถึง 40% การกู้ยืมครั้งใหม่จะต้องแพงขึ้น
นโยบายกีดกันจากสงครามก็ไม่ปกติ
การระงับการเข้าถึงดอลลาร์ของรัสเซียทำให้เกิดความกังวลเรื่องการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐจริง ซ้ำเติมเทรนด์ที่ IMF COFER ส่งสัญญาณอยู่ว่าทั่วโลกถือทุนสำรองเป็นดอลลาร์ลดลงจาก 71% ในปี 2000 เหลือเพียง 59% ในปี 2020 และมีแนวโน้มจะลดได้อีก ยีลด์ที่สูงจูงใจกว่านี้จึงอาจเป็นสิ่งเดียวที่ธนาคารกลางทั่วโลกต้องการจากสหรัฐ
จากเทรนด์ใหญ่ทั้งหมด จะเห็นว่าแรงสนับสนุนหลักของยีลด์ต่ำยาวนานไม่ได้หายไปเสียทีเดียว แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นช่วง 2-3ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นโควิด สงคราม หรือเงินเฟ้อ ดูจะไม่ใช่แค่เรื่องระยะสั้น มีความเสี่ยงที่จะหนุนให้
ยีลด์พลิกกลับเป็นขาขึ้นตั้งแต่นี้เป็นต้นไปได้เช่นกัน
สำหรับผม มองจากแรงหนุนและแรงต้านทั้งหมด แม้จะไม่สามารถสรุปได้ 100% ว่า“ยีลด์ขาลง” 40กว่าปีได้สิ้นสุดลงแล้ว แต่ผมเชื่อว่าโอกาสจะเห็นยีลด์ระยะยาว กลับไปต่ำกว่า 1.0% ในทศวรรษ 2020 นี้ไม่ใช่เรื่องง่าย
ไม่ว่าตลาดกระทิง4ทศวรรษของบอนด์จะอวสารหรือไม่ เราก็ควรมองหากลยุทธ์รับมือยีลด์ขาขึ้นหรือ “ตลาดหมีของบอนด์” กันได้แล้วครับ
การเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มระยะยาวที่มีผลต่อบอนด์ยีลด์สหรัฐในแต่ละทศวรรษ