“โทนี่” เคลียร์ปมข้องใจ ตัดปัญหา "ตั้งรัฐบาล" เดิมพันสูง?
อาจถึงเวลาแล้วจริง ๆ ที่ “โทนี่ วู้ดซัม” หรือ นายทักษิณ ชินวัตร ต้องเลือก ระหว่างคะแนนเสียง “คนรุ่นใหม่” กลุ่ม 3 นิ้ว กับ เกมการเมืองที่จะต้องพิสูจน์แบบไม่ “กั๊ก” อย่างที่หลายคนรู้ว่า “สู้ไปกราบไป”
เป็นที่น่าสังเกตว่า พักหลัง “โทนี่” หรือ “ทักษิณ” พยายามอย่างที่สุด ที่จะทำให้เห็นว่า ตัวเองมีความ “จงรักภักดี” ต่อสถาบันฯ และไม่ปล่อยผ่าน หากถูกพาดพิง หรือ กล่าวหาว่า ไม่จงรักภักดี รวมทั้งการแสดงความเห็นต่อการต่อสู้ของ “คนรุ่นใหม่” โดยเฉพาะกลุ่ม “3นิ้ว” ที่ไม่ “กั๊ก” อีกต่อไป
อย่างเมื่อเร็วๆนี้ (12 เม.ย.65) ที่กลายมาเป็นกระแสร้อนแรงขึ้นเมื่อวันที่ 14 เม.ย.65 หลังจากสร้างความไม่พอใจให้กับแกนนำม็อบราษฎร นายทักษิณ ชินวัตร กล่าวในรายการ CARE Talk x CARE Clubhouse ช่วงหนึ่งว่า
เด็กรุ่นใหม่เห็น เห็นอนาคตเราอยู่ตรงไหน เศรษฐกิจก็ล้มเหลว ประเทศก็ล้มเหลว เทคโนโลยีก็มาแรง เด็กไม่รู้ไม่เข้าใจ ก็คิดว่าต้องปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ซึ่งจริงๆแล้ว อยากแนะนำ ปฏิรูประบอบประชาธิปไตยโดยการแก้รัฐธรรมนูญ ที่เป็นประชาธิปไตย ยกตัวอย่างรัฐธรรมนูญ 2540 เป็นรัฐธรรมนูญที่ดีมาก ซึ่งตนเองไม่ใช่คนร่าง แต่ผมใช้แล้วรู้ว่ามันเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองต่อการบริหารประเทศและจะได้รัฐบาลที่ดี
"วันนี้เราได้รัฐบาลที่มาจากรูปแบบที่ไม่ดี แล้วยังไม่เก่ง และยังคอร์รัปชัน ตามโลกไม่ทัน และไม่สนใจจะตามโลก ทำให้เด็กไม่มีอนาคต เด็กก็เลยไปโทษว่าเกี่ยวกับสถาบัน
ความจริงมันไม่เกี่ยวเลย เพราะผมเนี่ยอยู่ตั้งแต่เป็นนักธุรกิจจนร่ำรวย แล้วมาเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ เป็นรองนายกรัฐมนตรี เป็นนายกรัฐมนตรี ผมเป็นนายกฯอายุ 51 ปี เพราะฉะนั้นผมจะเห็นหมดและผ่านมาทุกอย่าง..
เพราะฉะนั้นผมรู้ดีว่า เกิดอะไรขึ้น เพราะฉะนั้นวันนี้อยากจะมีอนาคตที่ดีต้องได้รัฐบาลที่มีความสามารถในการบริหาร และมีผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ เพราะฉะนั้นมันต้องมาด้วยกรอบรัฐธรรมนูญที่ดี และต้องมีองค์กรอิสระที่ยึดโยงกับประชาชน รักษาความยุติธรรมให้กับประชาชน เมื่อนั้นประเทศไทยเราจะอยู่นิ่ง...”
ทำเอา “เพนกวิน” นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ ผู้ต้องหาคดี 112 และแกนนำม็อบราษฎร ต้องออกมาตอกกลับ ผ่านทวิตเตอร์ว่า “เด็กไม่รู้ ไม่เข้าใจ หรือผู้ใหญ่ไม่กล้าพูด” และ “ครั้งที่แล้วผมเลือกเพื่อไทยครับ”
เรื่องนี้ “ทักษิณ” ประเมินอยู่แล้วว่า คนรุ่นใหม่บางส่วนไม่พอใจ ตัวเองจะต้องเสียคะแนนของ กลุ่ม 3 นิ้ว แต่ทว่าสิ่งที่ “ทักษิณ” เลือกแสดงความเห็นต่างหาก ที่ไม่ต้องสงสัยว่า พร้อมแลกกับฐานเสียงกลุ่มนี้
ก่อนหน้านี้ (29 มี.ค.65) นายทักษิณ ในนาม “โทนี่ วู้ดซัม” ก็ได้ร่วมสนทนาผ่านคลับเฮ้าส์ในรายการ CARE Talk x CARE ClubHouse หัวข้อ “มองเมืองดูไบ ใส่ใจกรุงเทพฯ ถึงตัวอยู่ไกล แต่ใจยังคิมิโนโตะ” ซึ่งช่วงท้าย นายทักษิณ ถือโอกาสระบายความในใจถึงลูกน้องเก่าในทำนองเดียวกัน
มาถึงตรงนี้ ทำให้เห็นว่า ด่านสำคัญอีกอย่าง ที่ “ทักษิณ” และพรรคเพื่อไทย จะต้องฟันฝ่าไปให้ได้ ถ้าหวัง “ชนะเลือกตั้ง” และ “จัดตั้งรัฐบาล” ก็คือ คดี “ยุบพรรค” นั่นเอง เพราะยังไม่รู้ว่า คำตัดสินจะออกมาวันไหน ก่อนหรือหลังเลือกตั้ง
สำหรับ คำร้องเอาผิดพรรคเพื่อไทยที่เข้าข่าย “ยุบพรรค” นั้น มีหลายเรื่องด้วยกัน ที่น่าสนใจประกอบด้วย
เมื่อปลายปี 2563 ก่อนการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด “ทักษิณ” ทั้งทวิตข้อความผ่านทวิตเตอร์ อัดคลิป เป็นโปรโมเตอร์สนับสนุนผู้สมัครพรรคเพื่อไทย คือ นายพิชัย เลิศพงษ์อดิศร หรือ “ส.ว.ก๊อง” ในศึกเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงใหม่
คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ได้ตั้งประเด็นสอบสวนแล้ว และนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ก็ไปยื่นคำร้องต่อ กกต.ให้ตรวจสอบเรื่องการครอบงำพรรคเพื่อไทยด้วย
กรณีคลิปวีดีโอคอลของ “ทักษิณ” ในงานวันเกิด “เกรียง กัลป์ตินันท์” รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ซึ่งคลิปดังกล่าวเกิดจาก ส.ส.ในพรรครู้เท่าไม่ถึงการณ์อัดคลิปไว้ และหลุดไปสู่สาธารณะ ทำให้เป็นเรื่องขึ้นจนได้ ยิ่งวันนั้น “ทักษิณ” พูดถึงแผนการเลือกตั้งของพรรคเพื่อไทยว่า
“ผมมีหลายแนวทาง รับรองว่าแต่ละแนวทางเนี่ย ส.ส.ที่คิดจะออก รับตังค์เขามาแล้ว ต้องเอาตังค์ไปคืน เที่ยวนี้ต้องชนะแลนด์สไลด์ เพราะว่าชนะธรรมดา มันไม่ให้เป็นรัฐบาลหรอก ถ้าแลนด์สไลด์มันไม่กล้าเป็นรัฐบาล ต้องเอาแลนด์สไลด์ชนิดที่ไม่กล้าเป็นรัฐบาล”
เรื่องนี้ “ศรีสุวรรณ จรรยา” เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ให้ข่าวกับสื่อมวลชนก่อนสิ้นปี 2564 ว่า ได้ไปให้การต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แล้ว
“เรื่องที่เกิดขึ้น มีพยานหลักฐานเป็นวิดีโอคอล มีถ้อยคำผูกมัดชัดเจน พร้อมรูปถ่ายหน้าตาของ ส.ส. และผู้บริหารของพรรคเพื่อไทยกว่า 11 คน ซึ่งสมาคมฯ มอบให้กับ ป.ป.ช. ทั้งหมด และน่าจะเป็นหลักฐานสำคัญที่ใช้เป็นหมัดน็อกพรรคการเมือง และหรือนักการเมืองที่ฝ่าฝืนกฎหมายได้ ซึ่งปีใหม่ 2565 น่าจะมีปรากฏการณ์ฟ้าผ่าแถวๆ ถนนเพชรบุรีตัดใหม่อีกครั้งเป็นแน่แท้”
จากนั้นก็มี กรณีนายวิฑูรย์ นามบุตร อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์สื่อท้องถิ่นอุบลราชธานี ว่า ได้ต่อสายหารือกับ “พี่โทนี่” เรื่องขอย้ายซบพรรคเพื่อไทย ในลำดับต่ำกว่าลำดับที่ 30 พร้อมจะไปหาถึงดูไบ
ต่อมา “เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ” ได้ยื่นคำร้องต่อ “กกต.” ให้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อนำไปสู่การยุบพรรคเพื่อไทยด้วย
นอกจากนี้ สนธิญา สวัสดี ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การกฎหมาย การยุติธรรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ได้ยื่นหนังสือต่อ กกต.เพื่อพิจารณายุบพรรคเพื่อไทย
เนื่องจาก นายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธ์ หรือ “แอมมี่ เดอะบอททอมบลูส์” นักเคลื่อนไหวทางการเมือง “กลุ่มราษฎร” โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า พรรคเพื่อไทยสนับสนุนการเงินในการเคลื่อนไหวชุมนุมทางการเมือง ซึ่งเข้าข่าย เป็นการกระทำของพรรคเพื่อไทยที่ฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 45 และมาตรา 92 (1) (2) (3) (4) หรือไม่
รวมถึง เมื่อวันที่ 14 มี.ค.65 ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้ยื่นคำร้องต่อ กกต. เพื่อขอให้ไต่สวน กรณี ส.ส. และอดีตผู้บริหารพรรคเพื่อไทยจำนวนหนึ่ง เดินทางไปพบนายทักษิณ ที่ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งอาจเข้าข่ายถูกชี้นำหรือครอบงำตามมาตรา 28 ของ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 หรือไม่ และหาก กกต.วินิจฉัยว่าฝ่าฝืน ก็อาจเข้าข่ายความผิดตาม มาตรา 92 (3) อันเป็นเหตุให้พรรคการเมืองนั้นถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคได้
ส่วนกฎหมายที่ถือว่า “ทักษิณ” และพรรคเพื่อไทยสุ่มเสี่ยงเข้าข่ายความผิดที่สุดก็คือ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 มาตรา 28
“ห้ามมิให้พรรคการเมืองยินยอม หรือกระทำการใดอันทำให้บุคคลอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกกระทำการอันเป็นการควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำ กิจกรรมของพรรคการเมืองในลักษณะที่ทำให้พรรคการเมืองหรือสมาชิกขาดความอิสระ ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม
มาตรา 29 ห้ามมิให้ผู้ใดซึ่งมิใช่สมาชิกกระทำการใดอันเป็นการควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำกิจกรรมของพรรคการเมืองในลักษณะที่ทำให้พรรคการเมืองหรือสมาชิกขาดความอิสระ ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม
อย่างไรก็ตาม ทุกครั้งที่มีการตัดสินคดี “ยุบพรรค” สิ่งหนึ่งที่มีเสียงสะท้อนตามมาของ “พรรคที่ถูกยุบ” ก็คือ “ถูกกลั่นแกล้ง” ทางการเมือง แม้ว่า คดีจะมีมูลความผิดชัดเจนก็ตาม
“ทักษิณ” อาจมองประเด็นนี้ เป็นส่วนสำคัญด้วยหรือไม่?
สุดท้ายแล้ว การ “เคลียร์ตัวเอง” เรื่อง “ความจงรักภักดี” อาจเป็นสิ่งที่ “ทักษิณ” ประเมินแล้วว่า สำคัญเหนืออื่นใด อย่างน้อยที่สุด ก็แก้ข้อครหาทั้งในอดีตและปัจจุบัน
แต่ที่มากกว่านั้น หากพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งครั้งหน้า และรอดคดียุบพรรคไปได้ เรื่อง “ความจงรักภักดี” ที่ “สิ้นข้อสงสัย” (จะทำได้ดีแค่ไหน) อาจมีส่วนอย่างมาก ทำให้ไม่ถูกต่อต้านอย่างรุนแรงในการจัดตั้งรัฐบาล
ไม่แปลก ที่ “ทักษิณ” จะแสดงท่าทีเรื่องนี้อย่างไม่ “กั๊ก” อีกต่อไป และยอมแลกกับคะแนนเสียงคนรุ่นใหม่ หรือ “กลุ่ม 3 นิ้ว” ที่อาจสูญเสีย
เพราะการ “จัดตั้งรัฐบาล” และตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” ของ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวคนเล็ก คือเดิมพันทั้งหมดในเวลานี้