NAM โชว์ผลงาน Q3/66 มีกำไรสุทธิ 58.53 ล้านบาท เติบโต 73.25%
NAM โชว์ผลงาน Q3/66 มีกำไรสุทธิ 58.53 ล้านบาท เติบโต 73.25% ดันผลงานงวด 9 เดือนแรก กวาดรายได้ 882.34 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.71% และกำไรสุทธิ 150.59 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 78.68% เร่งเครื่องขยายแผนงานร่วมกับ Strategic Partner พร้อมจัดตั้งบริษัทย่อย ดันรายได้ปีนี้เติบโตตามเป้าหมาย
นายวิโรจน์ ชัยเทอดเกียรติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นำวิวัฒน์ เมดิคอล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ NAM เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2566 (กรกฎาคม - กันยายน) บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและบริการ 287.98 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.16% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้จากการขายและบริการ 231.94 ล้านบาท โดยปัจจัยที่สนับสนุนการเติบโตมาจากการจำหน่ายอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เพิ่มขึ้น โดยสินค้าหลักยังคงเป็นกลุ่มเครื่องนึ่งฆ่าเชื้ออัตโนมัติที่มีอัตราเติบโตเพิ่มขึ้น 47.20 ล้านบาท ขณะที่รายได้จากการขายวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์เพิ่มขึ้นจำนวน 14.05 ล้านบาท และรายได้จากการให้บริการฆ่าเชื้อ บริการซ่อมบำรุงอุปกรณ์ทางการแพทย์และบริการบำบัดขยะติดเชื้อทางการแพทย์เพิ่มขึ้นจำนวน 1.91 ล้านบาท ด้านกำไรสุทธิทำได้ 58.53 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 73.25% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 33.78 ล้านบาท สอดคล้องกับการเติบโตของรายได้จากการขายและบริการ
นายวิโรจน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือนแรกของปี 2566 (มกราคม - กันยายน) มีรายได้จากการขายและบริการ 882.34 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.71% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้จากการขายและบริการ 743.27 ล้านบาท ด้านกำไรสุทธิทำได้ 150.59 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 78.68% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 84.28 ล้านบาท และสามารถทำอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) อยู่ที่ 17.07% เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่ทำได้ 11.34% ซึ่งปัจจัยความสำเร็จดังกล่าวมาจากรายได้จากการขายสินค้ากลุ่มเครื่องมือแพทย์และรายได้จากการให้บริการที่เติบโตขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องมือแพทย์ที่มีการเติบโตทั้งรายได้และกำไรขั้นต้น ประกอบกับบริษัทฯ ได้มีการควบคุมวัตถุดิบอย่างเหมาะสมตามแผนการผลิต ส่งผลให้ภาพรวมกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นกว่า 25.27%
"แนวโน้มในไตรมาสสุดท้ายของปี 2566 จะเห็นได้ว่าโรงพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชนต่างเตรียมความพร้อมในการให้บริการทางด้านสาธารณสุขโดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ทำให้มีการเพิ่มคำสั่งซื้อเวชภัณฑ์สิ้นเปลืองและเครื่องมือแพทย์ เพื่อทดแทนเครื่องมือที่เสื่อมสภาพ ประกอบกับสินค้าของ NAM ได้รับการยอมรับในมาตรฐานเทียบเท่ายุโรปและอเมริกา ส่งผลให้ลูกค้าเกิดความมั่นใจในการสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ พร้อมกับบริการที่ทั่วถึง รวดเร็ว ครอบคลุมเกือบทุกพื้นที่ของประเทศ จึงเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ NAM เติบโตอย่างมั่นคง" นายวิโรจน์ กล่าว
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร NAM กล่าวว่า ทิศทางการเติบโตปี 2566 ของ NAM คาดว่ารายได้จะเติบโตได้ตามเป้าหมาย จากปีก่อนที่มีรายได้ 1,110.69 ล้านบาท โดยมีปัจจัยเติบโตจาก 1) การขยายปริมาณการซื้อซ้ำในกลุ่มลูกค้าเดิม 2) การขยายตลาดไปยังกลุ่มลูกค้าในอุตสาหกรรมอื่นที่นอกเหนือจากโรงพยาบาล และ 3) การขยายการจำหน่ายสินค้าไปยังประเทศในภูมิภาคอาเซียน ทั้งนี้ บริษัทฯ พร้อมเดินหน้าสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องภายหลังเข้าจดทะเบียนใน ตลาดหลักทรัพย์ฯ ลงทุนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันเพื่อรองรับความต้องการมาตรฐานทางการแพทย์ที่สูงขึ้น โดยเฉพาะการทำความสะอาดและฆ่าเชื้ออุปกรณ์การแพทย์ (Decontamination Disinfection and Sterilization) ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ต้องนำกลับมาใช้ซ้ำอย่างปลอดภัย ทำให้ยังคงเป็นสินค้าที่มีความจำเป็นต่อความปลอดภัยของผู้ป่วย โดยในปัจจุบันหลายโรงพยาบาลและสถานพยาบาลยังมีเครื่องมือในกลุ่มดังกล่าวไม่เพียงพอต่อความต้องการพื้นฐาน จึงยังมีโอกาสขยายตัวได้อีกมาก
"บริษัทฯ ยังได้วางแผนกลยุทธ์สร้างการเติบโตผ่านการขยายธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเครื่องมือทางการแพทย์ การทำความสะอาดและการทำให้ปราศจากเชื้อ และธุรกิจผลิตเครื่องกำจัดขยะติดเชื้อด้วยเทคโนโลยีบดสับและนึ่งไอน้ำขึ้นได้เองในประเทศ และ/หรือธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัทฯ อย่างครบวงจร โดยมุ่งเน้นการขยายกิจการในต่างประเทศเพื่อสร้างฐานรองรับการเติบโต และเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ของไทยสู่ระดับโลกในอนาคต ล่าสุดบริษัทฯ ได้จัดตั้งบริษัทย่อยเพื่อประกอบธุรกิจจำหน่ายเครื่องมือแพทย์ เครื่องมือเครื่องใช้ทางวิทยาศาสตร์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในงานวิจัยและโครงการต่างๆ กับภาครัฐ รวมถึงเพิ่มความคล่องตัวในการจำหน่ายเครื่องมือแพทย์และเครื่องมือเครื่องใช้ทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท โดย NAM ถือหุ้น 99.999%"
นายวิโรจน์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ขณะเดียวกันยังอยู่ระหว่างเจรจาธุรกิจร่วมกับกลุ่มพันธมิตรทางธุรกิจ (Strategic Partner) ได้แก่ บริษัท อินโนบิก แอลแอล โฮลดิ้ง ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ อินโนบิก ในเครือ บมจ. ปตท. (PTT), บริษัท อินโน สเปราท์ โฮลดิ้ง ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ บมจ. พฤกษา โฮลดิ้ง (PSH) และบริษัท ดับบลิวเอชเอ เวนเจอร์ โฮลดิ้ง ซึ่งเป็นบริษัทย่อยกลุ่มบมจ. ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (WHA) เพื่อพัฒนาต่อยอด โดยบริษัทฯ ได้ร่วมมือวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ร่วมกับบริษัท อินโนบิก (เอเซีย) โดยใช้วัตถุดิบภายในประเทศเพื่อผลิตสินค้า ซึ่งจะพร้อมจำหน่ายรายการแรกได้ในไตรมาส 4/2566 และยังมีอีกหลายรายการที่เตรียมพร้อมจะออกจำหน่ายในต้นปี 2567 ขณะที่กลุ่มพฤกษาซึ่งมีความโดดเด่นด้านธุรกิจเฮลธ์แคร์ จะเป็นอีกปัจจัยที่สนับสนุนการพัฒนาด้านสาธารณสุข และกลุ่ม WHA ที่มีความโดดเด่นเรื่องนวัตกรรม ทั้งนี้คาดว่าจะเห็นความร่วมมือในการพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์และอาจต่อยอดไปยังกลุ่มอื่นๆ ในอนาคต