น้ำมันดิบโลกผันผวนหนัก ยุโรปอุปทานตึงตัว จีนอุปสงค์อ่อนแอ
ทิศทางราคาน้ำมันดิบโลก ยังคงมีหลายเหตุการณ์ที่น่าจับตามอง ทั้งความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวอย่างช้าๆ และอัตราดอกเบี้ยที่น่าจะทรงตัวในระดับสูงเป็นเวลานาน
ช่วงนี้ ราคาน้ำมันดิบ ยังขึ้นๆ ลงๆ ไปตามราคาตลาดโลก ในช่วงเดือนกันยายนจะเห็นว่าราคามีการขยับขึ้นมา แต่พอเข้าเดือนตุลาคมจะเห็นเบนซิน แก๊สโซฮอล์ ลงมาหลายวันติดๆ กัน ส่วนดีเซลรัฐบาลยังช่วยดูแลอยู่ไม่เกินลิตรละ 30 บาท เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนไปถึงสิ้นปีนี้
นอกจากนั้น ซาอุดีอาระเบียประกาศขยายกรอบเวลาลดปริมาณการผลิตน้ำมันดิบแบบสมัครใจ 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ขณะที่รัสเซียได้ขยายกรอบเวลาลดปริมาณการส่งออกน้ำมันดิบ 300,000 บาร์เรลต่อวัน ไปจนถึงสิ้นปี 2566 เพื่อพยุงราคาน้ำมันไว้ไม่ให้ต่ำกว่า 80 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
นอกจากนี้ ผลกระทบจากปรากฏการณ์ เอลนีโญ หรือ El Niño ที่ทำให้อากาศในยุโรปปีนี้ร้อนจัด ส่งผลกระทบต่อการผลิตน้ำมันในยุโรป ยิ่งทำให้อุปทานยิ่งตึงตัวขึ้นไปอีก
ขณะเดียวกัน โรงกลั่นทั่วโลกปิดซ่อมบำรุงในฤดูใบไม้ผลิเพิ่มขึ้น โดย Energy Aspects คาดการณ์ว่าในเดือนกันยายน 2566 จะปิดซ่อมบำรุงเพิ่มขึ้น 17% จากเดือนก่อนหน้า อยู่ที่ 6.39 ล้านบาร์เรลต่อวัน สูงสุดในรอบ 3 เดือน
ราคาน้ำมันได้ปัจจัยหนุนจากฝั่งซัพพลายที่ตึงตัว แต่ถ้าไปดูในฝั่งดีมานด์ จะเห็นตัวอุปสงค์ยังถูกกดดันจากภาพของ เศรษฐกิจโลก ที่ยังฟื้นตัวอย่างช้าๆ รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยที่น่าจะทรงตัวในระดับสูงไปอีกนาน
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าอุปสงค์ น้ำมันโลก ยังถูกกดดันจากนโยบายอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางหลักของโลกซึ่งอาจอยู่ในระดับสูงเป็นเวลานาน โดยประธานธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) Jerome Powell ส่งสัญญาณอาจขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง ในปี 2566 สู่ระดับ 5.50 - 5.75% จากระดับ 5.25 - 5.50% ในปัจจุบัน และดอกเบี้ยอาจยืนระดับสูงอีกเป็นเวลานานเพื่อให้ เงินเฟ้อ ลดลงสู่ระดับเป้าหมายที่ 2% ซึ่งดัชนีราคาผู้บริโภคของสหรัฐในเดือนสิงหาคม 2566 อยู่ที่ 3.7% จากปีก่อน สูงสุดในรอบ 3 เดือน
เศรษฐกิจจีน แม้จะฟื้นตัวช้ากว่าคาด ท่ามกลางความระส่ำระสายในวิกฤติภาคอสังหาริมทรัพย์ แต่ทางการจีนได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง เช่น ธนาคารแห่งชาติของจีน (People’s Bank of China: PBOC) และสำนักบริหารการกำกับดูแลการเงินแห่งชาติ (National Administration of Financial Regulation: NAFR) ออกมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ ด้วยการลดสัดส่วนการวางเงินดาวน์ สำหรับตลาดบ้านมือหนึ่งจาก 30% สู่ระดับ 20% และบ้านมือสองจาก 40% สู่ระดับ 30% ของมูลค่าบ้าน
โดยรวมแล้วอุปสงค์น้ำมันโลกยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจ แต่ก็คงไม่ได้หวือหวามากนัก โดยสำนักงานพลังงานสากล คาดการณ์อุปสงค์น้ำมันโลกในปี 2566 เพิ่มขึ้น 2.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากปีก่อน มาอยู่ที่ 101.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน และปี 2567 เพิ่มขึ้น 1.0 ล้านบาร์เรลต่อวัน มาอยู่ที่ 102.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน
ทีมวิเคราะห์ตลาดต่างประเทศของหน่วยธุรกิจการค้าระหว่างประเทศของ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) คาดว่า ราคาน้ำมันดิบ ICE Brent ในไตรมาส 4 ปี 2566 มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 85 - 95 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ยังคงได้รับแรงหนุนจากอุปทานที่ตึงตัว หลังกลุ่ม OPEC+ ประกาศขยายเวลาลดการผลิตน้ำมันดิบ ประกอบกับเป็นช่วงฤดูเฮอริเคนในมหาสมุทรแอตแลนติก (เดือนมิถุนายนถึงพฤศจิกายน 2566) อาจกระทบต่อการผลิตปิโตรเลียมในอ่าวเม็กซิโกของสหรัฐ
ทั้งนี้ GOM ผลิตน้ำมันดิบประมาณ 1.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือคิดเป็น 15% ของการผลิตในสหรัฐ และยังอาจกระทบต่อการดำเนินการของโรงกลั่น ขณะเดียวกันถ้าไปดูปริมาณสำรองน้ำมันโลกตอนนี้อยู่ในระดับต่ำมากๆ ซึ่งปริมาณ สำรองน้ำมันในกลุ่มประเทศสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา ในเดือนสิงหาคม 2566 อยู่ที่ 2,808 ล้านบาร์เรล ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี อยู่ 6%
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ยังต้องติดตาม และอาจส่งผลกระทบต่อราคาในช่วงปลายปี 2566 เช่น ซาอุดีอาระเบียและรัสเซียอาจขยายเวลาลดอุปทานน้ำมันโดยสมัครใจต่อไปหลังสิ้นสุดกำหนดเดิมในเดือนธันวาคม 2566 ขณะที่อุปทานน้ำมันจากสหรัฐ อิหร่าน และเวเนซุเอลา มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากกลุ่มผู้ผลิตเริ่มผลิตน้ำมันตอบสนองกำไรที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยผ่อนคลายภาวะอุปทานน้ำมันตึงตัว หากราคาน้ำมันมากกว่า 95 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จากปัจจัยสนับสนุนชั่วคราว อาจทำให้ไม่สามารถทรงตัวเหนือระดับดังกล่าวได้นาน และล่าสุดยังคงต้องเกาะติดสถานการณ์การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสในปาเลสไตน์ ซึ่งตอนนี้ถือว่าเข้าสู่ภาวะสงครามอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งมันอาจจะลุกลามไปอีกหลายพื้นที่ของตะวันออก ซึ่งถือเป็นแหล่งผลิตน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลก