เปิดที่มา 'ปลาหมอสีคางดำ' ลักลอบนำเข้าในไทยมานานกว่า 10 ปี
ย้อนดูที่มา "ปลาหมอสีคางดำ" ก่อนหลุดรอดแพร่กระจายเข้าไทยในฐานะ "เอเลียนสปีชีส์" ตัวป่วน รุกรานระบบนิเวศ ทำสัตว์น้ำท้องถิ่นอยู่ยาก สร้างความเสียหายต่อเกษตรกรที่เลี้ยงสัตว์น้ำ จนเกิดเป็นวาระ "ล่า" แห่งชาติในขณะนี้
ช่วงนี้กระแส "ปลาหมอสีคางดำ" (Blackchin Tilapia) อยู่ในความสนใจของสังคมและได้รับการสื่อสารอย่างกว้างขวางในฐานะ ปลาเอเลียนสปีชีส์ (Alien Species) ชนิดพันธุ์ปลาต่างถิ่นรุกราน (Invasive alien species) และเป็นปลาที่มีความแข็งแรงถึงขนาดว่ายน้ำไปจ.สงขลาแล้ว ทำให้แต่ละจังหวัดที่ติดชายฝั่งทะเลตื่นตัวไล่ล่าปราบปลาวายร้ายตัวนี้ให้สิ้นซาก ตามแนวทางการแก้ปัญหาเร่งด่วนของกรมประมง ด้วยวิธีการจับและการบริโภค เพิ่มความต้องการให้มากขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยกระตุ้นการจับปลาโดยอัตโนมัติ
อย่างไรก็ตาม มีรายงานในเว็บไซด์ของ กรมประมง พบว่า ไทยมีการส่งออกปลาหมอสีคางดำ เป็นปลาสวยงามต่อเนื่องช่วงปี 2556 - 2559 จำนวนมากว่า 320,000 ตัว มูลค่าส่งออกรวม 1,510,050 บาท และส่งออกไป 15 ประเทศ เช่น แคนาดา ซิมบับเว ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย รัสเซีย มาเลเซีย อาเซอร์ไบจาน เลบานอน ปากีสถาน อียิปต์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อิสราเอล อิหร่าน โปแลนด์ และตุรกี โดยมีปริมาณการส่งออกรวมเฉลี่ยในแต่ละปีตั้งแต่ 10,000 - 100,000 ตัว ทำให้เกิดการตั้งข้อสังเกตว่า กรมประมงมีการอนุญาตให้นำปลาหมอสีคางดำเข้าในราชอาณาจักรเพียงรายเดียว เพื่อการวิจัยและปรับปรุงพันธุ์ตามเงื่อนไขของกฎหมาย แล้วพ่อแม่พันธุ์ที่ใช้เพาะเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม เพื่อการส่งออกมาจากที่ไหนและใครเป็นผู้นำเข้า?
เมื่อเร็วๆ นี้ นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง ยอมรับว่า มีสัตว์ เอเลียนส์สปีชีส์ หลายชนิดระบาดในประเทศไทย ขณะที่ ปลาหมอสีคางดำ อาจมีที่มาได้ 2 สมมติฐาน คือ 1. การลักลอบนำเข้ามาในประเทศ เพราะมีการจับปลาลักลอบนำเข้า "ปลาปิรันยา" ได้ที่ดอนเมือง 2. การขออนุญาตนำเข้าปี 2553 เพื่อทดลองวิจัยปรับปรุงพันธุ์ปลานิล ซึ่งอาจมีการหลุดรอดได้
กรมประมง มีการรายงานว่า ในปี 2553 บริษัทเอกชนรายหนึ่งมีการนำเข้าจำนวน 2,000 ตัว ซึ่งพบว่ามีปลามีสุขภาพไม่แข็งแรงและมีการตายจำนวนมากในระหว่างทาง ทำให้เหลือปลาที่ยังมีชีวิตแต่อยู่ในสภาพอ่อนแอเพียง 600 ตัว ซึ่งได้รับการตรวจสอบ ณ ด่านกักกันโดยกรมประมง ทั้งนี้เนื่องจากปลามีสุขภาพไม่แข็งแรงจึงมีการตายต่อเนื่อง จนเหลือเพียง 50 ตัว บริษัทจึงตัดสินใจหยุดการวิจัยในเรื่องนี้ โดยมีการทำลายซากตามมาตรฐานและแจ้งต่อกรมประมง พร้อมส่งตัวอย่างซากปลาซึ่งดองในฟอร์มาลีนทั้งหมด 50 ตัวไปยังกรมประมง
หลังจากนั้น กรมประมงได้มีการแก้ไขประกาศกระทรวงฯ ห้ามนำเข้าปลาหมอสีคางดำ ในปี 2561 ซึ่งช่วงก่อนหน้าประกาศฉบับนี้เป็นช่วงที่มีการนำเข้าปลาหมอสีคางดำมาเพาะพันธุ์เพื่อการส่งออกอย่างต่อเนื่อง จนถึงปัจจุบันยังไม่มีใครสามารถยืนยันได้ว่า ปลาหมอสีคางดำ หรือ ปลาหมอคางดำ ยังมีการลักลอบนำเข้ามาในไทยหรือไม่ เพราะมีเพียงรายเดียวที่นำเข้าและทำลายถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น เรื่องนี้ทางกรมประมงจึงต้องเป็นผู้พิสูจน์ความถูกต้อง
ผ่านมา 15 ปี มีคำถามไปถึงหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องว่า ได้มีประกาศนโยบายอะไรเพื่อแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำที่เป็นรูปธรรมหรือไม่ และเป้าหมายสุดท้ายของการแก้ปัญหาคืออะไร ปลาชนิดนี้ควรถูกกำจัดและควบคุมให้อยู่ในพื้นที่จำกัดให้ได้ สถานการณ์เร่งด่วนขณะนี้ ควรส่งเสริมให้จับเพื่อบริโภคและให้ความรู้ว่า ปลาชนิดนี้กินได้ มีคุณค่าทางอาหาร
ด้านนักวิชาการสัตว์น้ำ แนะนำว่า ควรศึกษาวงจรชีวิตของปลา เพื่อตัดวงจรปลาตั้งแต่ต้นทาง ที่สำคัญทุกขั้นตอนต้องดำเนินการต่อเนื่อง จะเป็นแนวทางในการกู้ความหลากหลายทางชีวภาพในแหล่งน้ำได้รับการฟื้นฟู เพื่อคืนความอุดมสมบูรณ์และสมดุลธรรมชาติให้กับชุมชนอย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ ภาครัฐยังมีการให้ข้อมูลกับประชาชนน้อยมากในเรื่องชนิดของปลาที่สามารถบริโภคได้ แต่เมื่อมีนามสกุลเป็น "เอเลียนสปีชีส์" ทำให้คนกลัว หากบอกว่าปลาชนิดนี้เป็นหนึ่งในสายพันธุ์ปลานิล ทำเมนูต่างๆ ได้เหมือนเนื้อปลาทั่วไป มีโปรตีนและมีคุณค่าทางโภชนาการ ส่งเสริมให้มีการจับและบริโภคเพิ่มขึ้น และอาจกลายเป็นเมนูที่ได้รับความนิยมได้ ผลที่ตามมาคือ ปลาจะลดลงตามลำดับ
การแพร่ระบาดของ ปลาหมอสีคางดำ คือการทำลายความหลากหลายทางชีวภาพและสมดุลระบบนิเวศ ทำให้ความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งน้ำและสัตว์น้ำที่เป็นอาหารของมนุษย์ลดลง ชาวบ้านเสียแหล่งอาหารและรายได้จากการจับสัตว์น้ำ ด้วยปลาชนิดนี้เติบโตได้ทั้งน้ำจืด น้ำกร่อย และน้ำเค็ม ทั้งยังสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้เป็นอย่างดี สามารถออกลูกออกหลานได้ครั้งละมากๆ เนื้อน้อย กระดูกแข็งมาก แต่ไม่ได้หมายความว่ารับประทานไม่ได้ เนื้อปลาตัวใหญ่ทำได้หลายเมนู แต่ปลาตัวเล็กที่ติดขึ้นกับการจับมีจำนวนมากกว่า ควรนำไปทำปลาป่น โดยราคารับซื้อเฉลี่ยขณะนี้อยู่ที่ 8 - 10 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งเป็นราคากลางที่ใช้ซื้อขายปลาหมอคางดำกัน