STT GDC Thailand ชูศักยภาพดาต้าเซ็นเตอร์ระดับไฮเปอร์สเกล เสริมแกร่งพันธมิตรธุรกิจ
"STT GDC Thailand" หนึ่งในแนวร่วม Green Heroes for Life ด้านความยั่งยืน ของ "ชไนเดอร์ อิเล็คทริค" ชูศักยภาพดาต้าเซ็นเตอร์ระดับไฮเปอร์สเกล เสริมแกร่งพันธมิตรธุรกิจยุคดิจิทัล ด้วยวิสัยทัศน์ยั่งยืน
ปัจจุบันเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต กลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของสังคมและ เศรษฐกิจยุคดิจิทัล ในประเทศไทยอย่างปฏิเสธไม่ได้ ด้วยการเติบโตของธุรกิจในปัจจุบันที่มีความต้องการใช้งานด้านดิจิทัลเพิ่มมากขึ้น ประเทศไทยจำเป็นต้องวางรากฐานระบบสื่อสารของประเทศให้มีความเข้มแข็ง เพื่อรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลที่ยั่งยืนและมีคุณภาพ
ท่ามกลางการเติบโตของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีการคาดการณ์จาก We Are Social ดิจิทัลเอเยนซี ที่เปิดสถิติผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลก รวมถึงอัตราการเข้าถึงและพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตในเดือน ม.ค. ปี 2566 ระบุว่า มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นถึง 5.16 พันล้านคนในโลก หรือคิดเป็น 64.4% ของประชากรทั้งหมด เป็นจำนวนที่เพิ่มขึ้น 1.9% ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา โดยเฉพาะประเทศไทย มีการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตกว่า 85% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก และยังใช้อินเทอร์เน็ตต่อวันสูงกว่า 8 ชั่วโมง (ข้อมูลจากเว็บไซต์ bangkokbiznews)
จากความต้องการจำนวนมากสำหรับการส่งมอบข้อมูลดิจิทัลที่ต้องการความรวดเร็วเกือบจะในทันที ซึ่งผลจากสถิติผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลกและในไทยที่สูงต่อเนื่อง ยังสะท้อนความต้องการของผู้ใช้งานที่ต้องการการให้บริการด้าน Data Centre ที่ต้องสามารถจัดการกับการให้บริการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ยิ่งเมื่อ ดาต้าเซ็นเตอร์ เป็นเสมือนเป็นเครื่องมือสำคัญทางธุรกิจในยุคดิจิทัล หากเอ่ยถึงองค์กรธุรกิจที่มีการยอมรับด้านการออกแบบและประสิทธิภาพสูง ปัจจุบัน บริษัท เอสที เทเลมีเดีย โกลบอล ดาต้าเซ็นเตอร์ (ประเทศไทย) หรือ STT GDC Thailand กำลังเป็นผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ชั้นนำอันดับต้นๆ หรืออาจเรียกได้ว่าเป็น Data Centre ระดับไฮเปอร์สเกลแห่งแรกในประเทศไทย
ด้วยความแตกต่างการให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ที่มีความทันสมัยและตอบโจทย์การใช้งานจริงได้มากขึ้นของ STT GDC Thailand เปรียบเสมือนการติดอาวุธทางธุรกิจให้แก่พันธมิตรองค์กรขับเคลื่อนการเติบโตอย่างก้าวกระโดด
ไพบูลย์ รัตนเขมากร ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเทคโนโลยีและบริหารโครงการ บริษัท เอสที เทเลมีเดีย โกลบอล ดาต้าเซ็นเตอร์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ปัจจุบันองค์กรจำนวนมาก เริ่มหันมาประยุกต์ใช้เทคโนโลยีด้านดิจิทัลมากขึ้น ทั้ง AI, Machine Learning, Cloud และ 5G รวมถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นในอนาคต ดังนั้น เพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจและรองรับขยายการเติบโตขององค์กร เกิดการสร้างข้อมูลด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลจำนวนมากในแต่ละวัน ทำให้ความต้องการใช้งานสาธารณูปโภคดิจิทัลพื้นฐานที่รองรับการจัดเก็บข้อมูล (Data Centre) เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก ซึ่งดาต้าเซ็นเตอร์ในระดับไฮเปอร์สเกลจะสามารถรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนี้ได้เป็นอย่างดี
ไพบูลย์ กล่าวต่อว่า STT GDC Thailand เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่จะมีส่วนร่วมในการยกระดับโครงข่ายพื้นฐานเทคโนโลยีสารสนเทศด้านการสื่อสารในประเทศไทย และมีเป้าหมายร่วมผลักดันไทยให้ก้าวเข้าสู่ยุค เศรษฐกิจดิจิทัล อย่างสมบูรณ์แบบ แต่นอกเหนือจากเป้าหมายที่จะผลักดัน STT GDC Thailand สู่การเป็นผู้นำระดับประเทศในด้านระบบสาธารณูปโภคดิจิทัล (Digital Infrastructure) ผ่านการให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ระดับไฮเปอร์สเกลที่สามารถเชื่อมต่อได้กับทุกผู้ให้บริการโทรคมนาคมด้วยการเชื่อมต่ออย่างเป็นกลาง (Carrier-Neutral) ที่โดดเด่นทั้งในด้านประสิทธิภาพการปกป้องข้อมูลที่มีค่าของลูกค้าทุกรูปแบบ โดยให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของสภาพแวดล้อมในการเก็บข้อมูลด้วยคุณภาพมาตรฐานระดับไฮเอนด์ บริษัทฯ ได้รับการรับรองมาตรฐานในด้านความปลอดภัยข้อมูลและการบริหารความเสี่ยง ประกอบด้วยมาตรฐาน ISO27001 และมาตรฐาน PCI-DSS (Payment Card Industry Data Security Standard) ซึ่งช่วยตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ในการให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของสภาพแวดล้อมในการเก็บข้อมูล
พร้อมกันนี้ STT GDC Thailand ยังเป็นอีกองค์กรชั้นนำยุคใหม่ ที่เล็งเห็นความสำคัญในเรื่องการดำเนินธุรกิจด้วยความยั่งยืน
"ความยั่งยืน เป็นสิ่งที่ STT GDC Thailand ให้ความสำคัญเสมอมา ในฐานะที่เราเป็นผู้ให้บริการ Hyperscale Data Centre แห่งแรกที่จะเป็นบรรทัดฐานของประเทศ ซึ่งมีความจำเป็นต่อการขับเคลื่อนการเติบโตของ Digital Infrastructure ของทุกธุรกิจ ทำให้เรามองเห็นปัญหาใหญ่คือ การใช้ทรัพยากรที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และส่งผลต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม" ไพบูลย์ กล่าว
ไพบูลย์ กล่าวต่อว่า ในการขับเคลื่อนด้านความยั่งยืน ทาง STT GDC Thailand มีการเป้าหมายต้องการเป็นผู้นำที่จะผลักดันความยั่งยืนให้เกิดขึ้นทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ
"STT GDC Thailand เราดำเนินธุรกิจด้วยความซื่อสัตย์และให้ความสำคัญกับสังคมและสิ่งแวดล้อมเสมอมา โดยกลุ่ม STT GDC ได้นำกลยุทธ์ ESG ซึ่งได้แก่ Environmental Social และ Governance มาใช้ โดยตั้งเป้าหมายให้สอดคล้องการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (UN SDGs) ทั้งกลยุทธ์ด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล"
กลยุทธ์ดังกล่าว นำไปสู่การตั้งเป้าหมายด้านวิสัยทัศน์ความยั่งยืนขององค์กร ในช่วง 5-10 ปีข้างหน้า ได้แก่ การมุ่งสู่ ความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี 2573 การคำนึงการบริหารทรัพยากรบุคคลขององค์กรอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียม และการรักษามาตรฐานสูงสุดด้านจริยธรรม
"ทั้งหมดนี้ คือภารกิจที่เรามีความมุ่งมั่นที่จะทำให้ได้ โดยนำหลักการนี้ไปใช้ในทุกประเทศที่เราได้มีการขยายธุรกิจไปถึง รวมถึงประเทศไทยด้วย"
สำหรับแนวทางในการจัดการเรื่องของการบริหารจัดการพลังงานและดิจิทัลภายในองค์กรเพื่อ "ไปสู่ความยั่งยืน" อย่างเป็นรูปธรรมของ STT GDC Thailand ไพบูลย์เปิดเผยว่า ในฐานะที่เราเป็นผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานหลักของโลกดิจิทัล ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อ "Digital Ecosystem" (ระบบนิเวศดิจิทัล) เราจำเป็นต้องคิดและสร้างความแตกต่าง เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทางบริษัทมีแนวทางในการจัดการเรื่องของการบริหารจัดการพลังงาน อย่างเป็นรูปธรรม เช่น การร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับ PTT Digital ในความร่วมมือการศึกษาความเป็นไปได้ ในการใช้ประโยชน์จากพลังงานเย็นของก๊าซ LNG เพื่อนำไปใช้ผลิตไฟฟ้าและระบบทำความเย็น ในศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ของบริษัทฯ
"นอกจากนี้ ศูนย์ Data Centre ของเรา ได้ออกแบบและก่อสร้างเน้นการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ภายใต้มาตรฐาน LEED Gold Data Centre อีกทั้งเราได้นำเทคโนโลยี Digital Twin (โมเดลเสมือนจริง) เพื่อนำมาใช้ในการวิเคราะห์และควบคุมการใช้งานพลังงานภายใน Data Centre ของเรา"
ไพบูลย์ ยังฝากเชิญชวนองค์กรอื่นๆ ในประเทศไทย ให้ร่วมกันหันมามองเห็นความสำคัญในเรื่องความยั่งยืน และลุกขึ้นมาร่วมกันเปลี่ยนแปลงเพื่อความยั่งยืน โดยไม่ว่าจะเป็นองค์กรขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ก็สามารถมีส่วนร่วมขับเคลื่อนแนวคิดนี้ได้
"ความยั่งยืนไม่ใช่การแข่งขัน ความยั่งยืนไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง หรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทุกคน และจะเกิดขึ้นได้ เมื่อเราทั้งหมดร่วมมือกัน เราจะสามารถก้าวสู่ความยั่งยืน" ไพบูลย์ กล่าวทิ้งท้าย