รู้จักสนธิสัญญาพลาสติกโลก ไฟฉายส่องทางสู่ลดมลพิษพลาสติกเป็นศูนย์

รู้จักสนธิสัญญาพลาสติกโลก ไฟฉายส่องทางสู่ลดมลพิษพลาสติกเป็นศูนย์ โดย ดร.ธีระพล ถนอมศักดิ์ยุทธ ประธานคณะผู้บริหาร ด้านความยั่งยืนองค์กร และการพัฒนากลยุทธ์ เครือเจริญโภคภัณฑ์
220 ล้านตัน เป็นปริมาณ ขยะพลาสติก ที่ถูกสร้างใน ปี 2567 ตามรายงานของ EA Earth Action ปริมาณขยะพลาสติกขนาดนี้เทียบเท่ากับรถยนต์ประมาณ 146 ล้านคัน และช้างแอฟริกา 36.7 ล้านตัว
รายงานของ EA Earth Action จัดลำดับประเทศ ที่สร้าง “ขยะพลาสติกต่อหัว” มากที่สุดในโลก โดยอันดับหนึ่งคือ เบลเยี่ยม 147 กิโลกรัมต่อหัว สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 123 กิโลกรัมต่อหัว และโอมาน 122 กิโลกรัมต่อหัว ส่วนไทยรั้งอันดับที่ 32 ราว 45 กิโลกรัมต่อหัว ยิ่งไปกว่านั้น ขยะพลาสติกเหล่านี้บางส่วนถูกกำจัดไม่ถูกวิธี ส่งผลให้มีพลาสติกปนปื้อน กระทบต่อระบบนิเวศโดยรวม โดยในปี 2593 อาจมีขยะพลาสติกในทะเลมากกว่าปลาถึง 3 เท่า โดยไทยอยู่ในอันดับที่ 5 ของกลุ่มประเทศที่มีขยะพลาสติกไหลลงสู่ทะเลมากที่สุดในปี 2565
รายงานของ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ระบุว่า การผลิตพลาสติกของโลกเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจาก 348 ล้านตันในปี 2560 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าภายในปี 2583
ขยะพลาสติก เป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมที่น่ากังวลอย่างยิ่ง เนื่องจากพลาสติกไม่สามารถย่อยสลายได้ง่าย และสามารถสะสมในธรรมชาติเป็นเวลานาน โดยเฉพาะ ไมโครพลาสติก หรือชิ้นส่วนพลาสติกขนาดเล็กกว่า 5 มิลลิเมตร ซึ่งเกิดจากการสลายตัวของพลาสติกใหญ่ หรือจากการใช้งานประจำวัน บางครั้งไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า สามารถปนเปื้อนในน้ำและอาหาร ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในภาพรวม
ความกังวลนี้เป็นผลให้ทั่วโลกพยายามหาแนวทางแก้ไขและป้องกันอย่างเร่งด่วน หนึ่งในความพยายามอันเป็นรูปธรรมที่สุดในเวลานี้ น่าจะหนีไม่พ้น สนธิสัญญาพลาสติกโลก (Global Plastic Treaty) ข้อตกลงที่จะนำไปสู่มาตรการทางกฎหมายระดับโลก เป็นข้อตกลงพหุภาคีด้านสิ่งแวดล้อม และความยั่งยืนที่สำคัญ ดังที่ อิงเจอร์ แอนเดอร์เซน ผู้อำนวยการโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) ระบุว่า สนธิสัญญาพลาสติกโลก อาจเป็นข้อตกลงพหุภาคีด้านสิ่งแวดล้อมที่สำคัญที่สุดตั้งแต่ความตกลงปารีส โดยคาดว่าจะมีข้อสรุป และการลงนามในปี 2568
“สนธิสัญญาพลาสติกโลก” มีเป้าหมายเพื่อลดมลพิษพลาสติกให้เป็นศูนย์ภายในปี 2583 ผ่านแผนงานที่เรียกว่า System Change Scenario (SC Scenario) โดยกำหนดเป้าหมายในการ ลดการปล่อยขยะพลาสติก สู่สิ่งแวดล้อมลง 80% ภายในปี2583 เน้นให้ทุกภาคส่วนใช้ซ้ำ ลด ละ เลิกการใช้พลาสติกที่ก่อให้เกิดปัญหา และไม่มีความจำเป็น 4 ประการ 1) การใช้ซ้ำ (Reuse) 2) การรีไซเคิล (Recycle) 3) การปรับเปลี่ยนทิศทาง และกระจายความเสี่ยง และ 4) การจัดการกับขยะพลาสติกที่ไม่สามารถใช้ซ้ำ (Reuse) และรีไซเคิล (Recycle) โดยอาจมีตัวอย่างดังเช่น การลดใช้พลาสติกที่มีอายุการใช้งานสั้น (Short-lived plastics) ซึ่งมีอายุการใช้งานประมาณ 0.5 ถึง 3 ปี โดยหันมาใช้พลาสติกประเภททนทาน (Durable plastics) ซึ่งมีคุณสมบัติความต้านทานที่ดี และอายุการใช้งานยาวนานขึ้น นอกจากนี้ยังต้องหาวิธีการจัดการ ขยะพลาสติก ที่ไม่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำ (Reuse) และรีไซเคิล (Recycle)
เดิม “สนธิสัญญาพลาสติกโลก” พัฒนามาจากการลงมติรับรองญัตติด้านการจัดการมลพิษขยะพลาสติก เพื่อวางกรอบมาตรการที่ผูกพันกฎหมายระหว่างประเทศเกี่ยวกับมลพิษจากพลาสติก โดยคณะกรรมการ 193 ประเทศสมาชิกองค์การสหประชาชาติ ที่เข้าร่วมประชุมสมัชชาสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติสมัยที่ 5 ช่วงที่ 2 (UNEA-5.2)
นิตยสารสารคดีของไทย ได้เผยแพร่บทความเกี่ยวกับที่มา และรายละเอียดของสนธิสัญญาฉบับนี้ และนิยามการลงมติครั้งนี้ว่าเป็น “การลงมติครั้งประวัติศาสตร์ และเป็นก้าวแรกของกระบวนการมุ่งหน้าสู่การจัดตั้งคณะกรรมการเจรจาระหว่างรัฐบาลที่มีพันธกิจหลัก คือพัฒนาเครื่องมือจัดการ มลพิษพลาสติก ตามแนวทางองค์รวมตลอดวัฏจักรชีวิต (Life Cycle) เริ่มตั้งแต่กระบวนการผลิต การใช้งาน และการกำจัด ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ในฐานะภาคเอกชน ที่มีส่วนข้องเกี่ยวโดยตรงกับห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) อาทิ การลดการใช้พลาสติกสู่ความเป็นศูนย์ โดยใช้นวัตกรรม และเทคโนโลยีทางการผลิตล้ำสมัย โดยเฉพาะสำหรับการปรับตัวของประเทศไทยสอดคล้องกับแนวทาง “สนธิสัญญาพลาสติกโลก” ดังนี้
- การพัฒนาวัสดุทดแทนพลาสติก อาทิ พลาสติกชีวภาพ (Bioplastics) โดยใช้พลาสติกที่ทำจากวัสดุธรรมชาติ เช่น ข้าวโพด มันฝรั่ง แป้ง เป็นต้น หรือใช้วัสดุจากพืช (Plant-based materials) เช่น ฟางข้าว หรือปาล์ม มาใช้แทนพลาสติกสำหรับห่อหุ้มผลิตภัณฑ์ต่างๆ
- เทคโนโลยีการรีไซเคิลพลาสติก (Chemical Recycling) เป็นกระบวนการที่ช่วยแยกพลาสติกกลับไปเป็นสารเคมีดั้งเดิม เพื่อนำมาผลิตพลาสติกใหม่ โดยไม่ต้องใช้น้ำมันหรือวัตถุดิบใหม่ หรือ เทคโนโลยีการรีไซเคิลพลาสติกที่ใช้ในกระบวนการผลิตใหม่ (Advanced Recycling Technologies) โดยใช้เครื่องจักรที่สามารถแยก และทำลายพลาสติกเพื่อใช้ทำผลิตภัณฑ์ใหม่
- การพัฒนาเทคโนโลยีในการบรรจุภัณฑ์ โดยบรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้ (Compostable Packaging) เช่น วัสดุจากกระดาษหรือแป้งที่สามารถย่อยสลายได้ในสภาพแวดล้อม หรือบรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ (Reusable Packaging) โดยการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำมาใช้ซ้ำได้หลายครั้ง
- การใช้เทคโนโลยีในการผลิตเพื่อลดการใช้พลาสติก เช่น การพิมพ์ 3D (3D Printing) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการพิมพ์สามมิติที่ใช้วัสดุจากพลาสติกชีวภาพในการผลิตชิ้นส่วนที่มีความซับซ้อนได้โดยไม่ต้องใช้พลาสติกทั่วไปในปริมาณมาก หรือการผลิตแบบไร้ขยะ (Zero Waste Production)
- การส่งเสริมและรณรงค์ทุกภาคส่วนให้เข้ามีส่วนเกี่ยวข้อง ทั้งในส่วนของภาครัฐ ภาคอุตสาหกรรม และภาคประชาชน เข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการมลพิษพลาสติกตลอดห่วงโซ่คุณค่าอย่างครบวงจร ผ่านระบบการเก็บกลับ ขยะพลาสติก ที่เกิดขึ้น
- การกำหนดระเบียบ และข้อบังคับกฎหมายที่ให้ภาคธุรกิจต้องให้ความสำคัญและขยายความรับผิดชอบต่อผลิตภัณฑ์ของตนให้ครบทั้งวงจรชีวิต (Extended Producer Responsibility: EPR) ครอบคลุมตั้งแต่การออกแบบ การผลิต การใช้งาน รวมไปจนถึงการบริหารจัดการ มลพิษพลาสติก อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งจำเป็นที่จะต้องอาศัยข้อบังคับของกฎหมายในแต่ละประเทศ เพื่อให้การบริหารจัดการปัญหามลพิษพลาสติก เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพในทางปฏิบัติมากขึ้นในวงกว้าง
ที่ผ่านมา เครือเจริญโภคภัณฑ์ ได้มีการกำหนดเป้าหมาย zero waste ซึ่งขยะพลาสติกก็เป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมาย และทุกบริษัทในเครือต้องจัดทำแผน โดยกลุ่มค้าปลีกได้มีการเริ่มใช้งานเครื่องเติมน้ำยา Refill เพื่อลดการใช้ packaging ในผลิตภัณฑ์แบบเติมในร้านโลตัส นอกจากนี้ บมจ.ซีพี ออลล์ ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ ได้ดำเนินโครงการ 7 GO Green บนแนวคิดหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ตั้งแต่ปี 2550 เพื่อลด ละ เลิกใช้ถุงพลาสติกที่ร้านเซเว่น อีเลฟเว่นทั่วประเทศ ภายใต้แนวคิด “ลด และ ทดแทน” หนึ่งในนั้นคือ โครงการเสื้อพนักงานร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ที่ผลิตจากขวดพลาสติกรีไซเคิล โดยใช้ขวดขนาด 1,500 CC จำนวน 4 ขวดต่อเสื้อพนักงาน 1 ตัว หรือใช้ขวดพลาสติกรีไซเคิลขนาด 600 CC จำนวน 12 ขวดต่อเสื้อ 1 ตัว เพื่อผลิตเป็นเสื้อโปโลสำหรับพนักงานสายสำนักงาน นอกจากนี้ยังวางจำหน่ายที่ร้าน Boutique for All โดยรายได้จากการจำหน่ายหลังหักค่าใช้จ่ายจะมอบเข้างกองทุนปัญญาภิวัฒน์ สำหรับเป็นทุนการศึกษาให้กับนักเรียนวิทยาลัยเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์ (PAT) อีกด้วย
นับเป็นหนึ่งในความพยายามของภาคเอกชน ที่หากเราสามารถร่วมมือร่วมใจกัน ลดขยะพลาสติก ก็นับว่าเป็นการส่งต่อความยั่งยืนไม่เพียงต่อโลกปัจจุบัน หากยังรวมถึงอนุชนรุ่นหลังอีกด้วย
สนธิสัญญาพลาสติกโลก จึงเป็นเครื่องตอกย้ำให้โลกใส่ใจปัญหาพลาสติกมากขึ้น เป็นแนวทางสำหรับผู้เล่นในห่วงโซ่อุปทาน ภาคเอกชน หรือผู้บริโภคทั่วไป เพื่อให้เกิดการปฏิบัติที่นำไปสู่ความยั่งยืน โดยใช้เทคโนโลยีเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ