ส่อง 3 ปัจจัยสำคัญช่วงไตรมาสแรกปีหน้า ต้องจับตาอะไรบ้าง?
ชวนส่อง 3 ปัจจัยสำคัญช่วงไตรมาสแรกของปี 2566 ซึ่งเป็นอีกหนึ่งช่วงที่นักลงทุนต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ได้ทันท่วงที ส่วนจะมีปัจจัยสำคัญอะไรบ้าง ติดตามอ่านได้จากบทความนี้
ปี 2565 เป็นอีกหนึ่งปีที่ตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงเผชิญกับความผันผวนต่อเนื่องจากหลากหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นทิศทางของธนาคารกลางใหญ่หลายประเทศที่กลับมาใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นในรูปแบบของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย การดึงสภาพคล่องออกจากระบบหรือความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างรัสเซีย-ยูเครน จีน-ไต้หวัน รวมไปถึงผลกระทบจากการใช้นโยบาย Zero COVID ในจีนที่ได้สร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง ไม่ว่าจะเป็นฝั่งของภาคธุรกิจและประชาชนทั่วไป สำหรับในไตรมาสแรกของปีหน้า มี 3 ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด เพื่อให้นักลงทุนเตรียมพร้อมรับมือต่อสถานการณ์ได้อย่างเหมาะสมต่อไป
ตัวเลขผลประกอบการของไตรมาส 4/2565
ที่มา : FactSet
หากดูจากข้อมูลคาดการณ์ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 4/2565 จาก FactSet จะพบว่า อุตสาหกรรมส่วนใหญ่มีแนวโน้มชะลอตัว และนักวิเคราะห์ได้มีการปรับลดคาดการณ์ลงมาจากเดิมที่เคยประเมินไว้ในช่วงเดือนกันยายน ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากความกังวลในเรื่อง เศรษฐกิจถดถอย และอุปสงค์โลกที่ชะลอตัวจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโควิด โดยในภาพรวมคาดว่า บริษัทที่จดทะเบียนใน S&P500 จะชะลอตัว -2.8% ซึ่งกลุ่มที่คาดว่ากำไรจะหดตัวแรง ได้แก่ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย กลุ่มบริการ และกลุ่มสื่อสาร สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะยังมีผลประกอบการที่เติบโตแข็งแกร่ง ได้แก่ กลุ่มพลังงาน กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับสาธารณูปโภค โดยผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนสหรัฐ นับเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม เนื่องจากผลประกอบการที่ดีเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญที่จะทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นได้ โดยคาดว่า ผลประกอบการไตรมาส 4/2565 จะเริ่มทยอยประกาศออกมาในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นไป
การปรับขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ในเดือนกุมภาพันธ์
ที่มา : CME Group
ในปี 2565 Fed มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องสู่ระดับ 4.25% - 4.50% ขณะที่ Fed Dot Plot คาดอัตราดอกเบี้ยสูงสุดจะอยู่ที่ระดับ 5.1% ในปี 2566 หรือนับเป็นการปรับเพิ่มดอกเบี้ยอีก 0.75% จากระดับปัจจุบัน ทั้งนี้ แนะนำให้ติดตามการประชุม Fed ที่จะมีขึ้นในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 โดยหากอิงจากข้อมูลของ CME Group ตลาดให้น้ำหนักถึง 70% ที่ Fed จะขึ้นดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.50% – 4.75% ซึ่งหาก Fed ปรับขึ้นดอกเบี้ยเพียง 0.25% ตามที่ตลาดคาดจริง จะนับเป็นการส่งสัญญาณชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยบวกที่สำคัญต่อตลาดหุ้น
ความชัดเจนในการเปิดประเทศของจีน
ที่มา : Bloomberg
เป็นเวลา 3 ปีแล้วที่ชาวจีนต้องอยู่กับมาตรการล็อกดาวน์ ซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในประเทศอย่างมหาศาล อย่างไรก็ดี ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ได้เห็นทางการจีนออกมาผ่อนปรนนโยบาย Zero COVID อย่างต่อเนื่อง อย่างเช่น การลดขนาดพื้นที่เสี่ยง ผู้ติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการก็สามารถกักตัวที่บ้านได้ และยกเลิกการรายงานผู้ติดเชื้อที่มีอาการไม่รุนแรง การให้ข้อมูลกับประชาชนถึงโควิดสายพันธุ์ Omicron ว่ามีความรุนแรงลดลงเมื่อเทียบกับสายพันธุ์อื่นๆ รวมถึงพิจารณาการพัฒนาวัคซีน mRNA และการเพิ่มอัตราการได้รับวัคซีนของผู้สูงอายุ เพื่อประกอบการตัดสินใจผ่อนคลายความเข้มงวดลงเพิ่มเติม
ล่าสุดมีรายงานข่าวว่า จีนเตรียมผ่อนคลายมาตรการกักตัวผู้เดินทางจากต่างประเทศเข้ามาในจีนตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2566 เป็นต้นไป โดยจะลดมาตรการลงคือ ไม่ต้องกักตัวและเหลือเพียงช่วงเฝ้าระวัง 3 วัน เบื้องต้นตลาดคาดว่า จะเห็นการทยอยผ่อนคลายกฎเกณฑ์ต่างๆ ลงอย่างต่อเนื่อง เพื่อเตรียมเปิดประเทศอย่างชัดเจนในไตรมาส 2 ของปีหน้า โดยหากมีทิศทางเปิดประเทศอย่างชัดเจนก็จะส่งผลดีกับ เศรษฐกิจจีน และตลาดหุ้นโดยรวม อย่างไรก็ดี ยังคงต้องติดตามจำนวนผู้ติดเชื้ออย่างใกล้ชิด เนื่องจากโดยปกติแล้วผู้ติดเชื้อมักจะเพิ่มขึ้นทวีคูณหลังผ่านไป 3 - 4 สัปดาห์ หลังจากที่มีการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ โดยต้องจับตาช่วง เทศกาลตรุษจีน ในช่วงวันที่ 22 มกราคม 2566 ซึ่งเป็นช่วงที่ชาวจีนมีการเคลี่อนไหวมากที่สุด และอาจทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อกลับมาทำจุดสูงสุดอีกครั้ง
จาก 3 เหตุการณ์สำคัญที่ได้กล่าวไป ถือเป็นปัจจัยที่จะต้องเฝ้าจับตาอย่างใกล้ชิด โดยหากผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนโดยรวมออกมาดีกว่าคาด ผลการประชุม Fed ขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ตามที่ตลาดคาด รวมถึงเหตุการณ์การติดเชื้อโควิดในจีนไม่ได้เลวร้ายอย่างที่หลายฝ่ายกังวล ตลาดหุ้นในปี 2566 อาจจะสามารถเริ่มต้นปีได้อย่างสดใส และฟื้นตัวได้จากปี 2565 แต่หากทั้ง 3 เหตุการณ์ออกมาแย่กว่าที่ได้คาดไว้ การฟื้นตัวของตลาดหุ้นในปีหน้าอาจจะต้องรอจนถึงช่วงไตรมาส 2 เป็นต้นไป
ที่มา : FactSet, CME Group และ Bloomberg
ข้อมูล บทความ บทวิเคราะห์และการคาดหมาย รวมทั้งการแสดงความคิดเห็นทั้งหลายที่ปรากฏอยู่ในรายงานฉบับนี้ ทำขึ้นบนพื้นฐานของแหล่งข้อมูลที่ดีที่สุดที่ได้รับมาและพิจารณาแล้วเห็นว่า น่าเชื่อถือ แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความถูกต้อง ความสมบูรณ์ แท้จริงของข้อมูลดังกล่าว ความเห็นที่แสดงไว้ในรายงานฉบับนี้ได้มาจากการพิจารณาโดยเหมาะสมและรอบคอบแล้ว และอาจเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่จำเป็นต้องแจ้งล่วงหน้าแต่อย่างใด บทความ บทวิเคราะห์ และการคาดหมายทั้งหลายที่ปรากฏอยู่ในรายงานฉบับนี้เป็นการนำไปใช้โดยผู้ใช้ยอมรับความเสี่ยงและเป็นดุลยพินิจของผู้ใช้แต่เพียงผู้เดียว
ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ บลจ.ทิสโก้ หรือ TISCO Contact Center โทร. 0 2633 6000 กด 4, 0 2080 6000 กด 4 และเว็บไซต์ tiscoasset หรือแอปพลิเคชัน TISCO My Funds