ก้าวต่อไปของ “ไอ-เทล” ผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยง Top 10 ของโลก เดินหน้าเสนอขายหุ้น IPO 22-25 พ.ย. นี้
โลกในปัจจุบันที่สัตว์เลี้ยงไม่ใช่แค่หมาแมว แต่เป็นเหมือนสมาชิกในครอบครัว ทำให้คนเต็มใจที่จะใช้จ่ายเพื่อซื้ออาหารสัตว์เลี้ยงระดับพรีเมียมและมีคุณค่าทางโภชนาการมากขึ้น เทรนด์ Humanization ของสัตว์เลี้ยงนี้เองที่ถือเป็นหนึ่งปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนการเติบโตของ “ไอ-เทล” อย่างต่อเนื่องและมั่นคงในช่วงที่ผ่านมา
ก้าวต่อไปของธุรกิจ บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ไอ-เทล ผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยง Top 10 ของโลก ที่ดำเนินธุรกิจรับจ้างผลิตสินค้า หรือ OEM เกี่ยวกับอาหารสัตว์เลี้ยงอย่างครบวงจรให้แบรนด์ชั้นนำระดับโลกมากมาย ปัจจุบันส่งออกกว่า 45 ประเทศทั่วโลก ก็คือ การเดินหน้าเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 660 ล้านหุ้น ด้วยช่วงราคาเสนอขาย 30-32 บาทต่อหุ้น คิดเป็นมูลค่าเสนอขายรวมไม่เกิน 21,120 ล้านบาท พร้อมเปิดให้นักลงทุนจองซื้อหุ้นได้ระหว่าง 22-25 พฤศจิกายน 2565 นี้ และคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้ภายในเดือนธันวาคมนี้ โดยบริษัทฯ มีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิ การเสนอขายหุ้นไอพีโอครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญของ “ไอ-เทล” ในการเดินหน้าสร้างการเติบโตอีกขั้น
นายพิชิตชัย วงศ์ปิยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ITC เปิดเผยว่า ปัจจุบัน ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยง ทั่วโลกมียอดขายปลีกประมาณ 131,000 - 135,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 5 ล้านล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย 6.6% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา และคาดการณ์ว่าจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ 7.1% ในอีก 5 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ การเติบโตของเทรนด์การดูแลสัตว์เลี้ยงแบบ Pet Humanization ทำให้ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงในกลุ่มพรีเมียมที่คุณภาพสูง มีสูตรเฉพาะและรูปแบบที่ตรงกับความต้องการที่หลากหลาย ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์สำหรับแมวและอาหารแบบเปียก ซึ่งอาหารแมวคาดการณ์ว่ามีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี 8.2% ในขณะที่อาหารสุนัข คาดการณ์ว่า เติบโตเฉลี่ยปีละ 7.6% ส่วนอาหารแมวและสุนัขชนิดเปียกคาดการณ์ว่า มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ 10.7% เทียบกับอาหารแมวและสุนัขชนิดแห้งที่ 5.3% ใน 5 ปีข้างหน้า
“สำหรับผลประกอบการที่แข็งแกร่งและเติบโตอย่างต่อเนื่องด้วยรายได้จากยอดขายรวมเสมือนในปี 2564 ที่ 14,529 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ยปีละ 15% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นอัตราที่สูงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ระดับ 6.6% ต่อปี โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 บริษัทมีรายได้จากยอดขายรวมเสมือน 15,829 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 52.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเติบโตจากการขยายฐานลูกค้าใหม่ และการเพิ่มขึ้นของจำนวนคำสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ใหม่จากลูกค้าหลัก ประกอบกับอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้นจากการที่บริษัทฯ มีปริมาณการขายผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียมที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ในงวด 9 เดือนแรกของปี 2565 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิเสมือน 3,726 ล้านบาท เติบโตขึ้น 74.6% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีฐานรายได้จากหลากหลายประเทศ ที่ช่วยเพิ่มโอกาสและกระจายความเสี่ยง โดยสัดส่วนรายได้จากการขายเสมือนของบริษัทในรอบสิ้นสุดปี 64 แบ่งเป็น ทวีปอเมริกา 46% ยุโรป 19% และเอเซียและโอเชียเนีย 35%”
ไอ-เทล มีแผนการลงทุนใน 3 ปีข้างหน้า ซึ่งจะใช้งบประมาณทั้งสิ้น 4.2 พันล้านบาท เน้นลงทุน 7 ด้าน ดังนี้ โครงการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ใหม่, ลงทุนโรงงานแห่งใหม่เพื่อเพิ่มกำลังการผลิต 18.7%, ซื้ออุปกรณ์เครื่องจักรเพิ่มเติม, เพิ่มพื้นที่คลังสินค้าและการจัดเก็บสินค้า, ติดตั้งระบบการติดฉลากและบรรจุภัณฑ์แบบอัตโนมัติ, ตั้งศูนย์ปฏิบัติการทดสอบรสชาติอาหาร และขยายกำลังการผลิตโรงงานในสมุทรสาครและสงขลาด้วยระบบอัตโนมัติและเครื่องจักร ปัจจุบันมีกำลังการผลิตรวมกว่า 172,786 ตัน/ปี แบ่งเป็นกำลังการผลิตของโรงงานที่จังหวัดสงขลาจำนวน 74,636 ตันต่อปี และโรงงานที่จังหวัดสมุทรสาครจำนวน 98,150 ตันต่อปี
“นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมุ่งเน้นขยายตลาดในกลุ่มประเทศจีนที่มีการเติบโตที่ดีของอุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยงค่อนข้างสูง เนื่องจากตลาดมีอัตราการเติบโตที่สุดในโลก การเข้าไปทำการตลาดยังอยู่ในระดับต่ำ โดยในปีที่ผ่านมามีมูลค่าตลาดอาหารแมวและสุนัขที่ 8,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงสหรัฐฯ มีมูลค่าตลาดที่ 38,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทวีปยุโรป มีมูลค่าตลาดที่ 16,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และญี่ปุ่น มีมูลค่าตลาดที่ 4,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ บริษัทฯ อยู่ในกลุ่มไทยยูเนี่ยน ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตปลาทูน่ารายใหญ่ของโลก จึงมั่นใจได้ว่า มีวัตถุดิบป้อนเข้าสู่กระบวนการผลิตอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งในปี 62-64 ปลาทูน่าถือได้ว่าเป็นวัตถุดิบหลักของบริษัทในสัดส่วนประมาณ 43-49% ของปริมาณวัตถุดิบทั้งหมด” นายพิชิตชัย กล่าว
นอกจากนี้ นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ยังกล่าวถึงการโรดโชว์ก่อนเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ว่า บริษัทฯ ได้จัดงานไอพีโอโรดโชว์ใน 4 จังหวัดใหญ่ ได้แก่จังหวัดกรุงเทพฯ ในวันพุธที่ 16 พ.ย. 65 จังหวัดขอนแก่น ในวันพฤหัสบดีที่ 17 พ.ย. 65 จังหวัดสงขลา ในวันศุกร์ที่ 18 พ.ย. 65 และปิดท้ายการโรดโชว์ให้แก่นักลงทุนที่จังหวัดเชียงใหม่ ในวันจันทร์ที่ 21 พ.ย. 65
“ผมมั่นใจว่าการเดินสายโรดโชว์ของบริษัทจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน เนื่องจาก ITC เป็นบริษัทที่มีพื้นฐานที่แข็งแกร่งและมีความน่าสนใจอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นผลประกอบการที่มีอัตราการเติบโตของยอดขายและความสามารถในการทำกำไรที่โดดเด่น โดยมีอัตรากำไรสุทธิเสมือน 18.6% ในปี 64 และ 23.3% ในงวด 9 เดือนแรกของปี 65 ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่สูง สะท้อนให้เห็นถึงการบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยิ่งไปกว่านั้นตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงโลกมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและมั่นคงตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา”
สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการเสนอขายหุ้น “ไอ-เทล” ครั้งนี้ได้โดย คลิก หรือศึกษาข้อมูลจากแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และหนังสือชี้ชวนได้ ที่นี่