เมืองใหม่น่าอยู่ อัจฉริยะของโลกในปี 2580

เมืองใหม่น่าอยู่ อัจฉริยะของโลกในปี 2580

แผนร่างปฏิบัติการด้านโครงการศูนย์ธุรกิจเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC )และเมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะ กรอบวงเงินลงทุน 1.35 ล้านล้านบาท

โดยร่างแผนปฏิบัติการนี้ เพื่อเป็นศูนย์กลางธุรกิจและการเงินระดับภูมิภาค มาตรฐานเทียบเท่าสากลภายในปี 2570 และเป็นเมืองน่าอยู่อัจฉริยะ 1 ใน 10 ของโลกในปี 2580" โดยมีเป้าหมายเป็นศูนย์ธุรกิจ และเมืองน่าอยู่อัจฉริยะต้นแบบ สำหรับการพัฒนาเมืองใหม่อัจฉริยะทั่วประเทศไทยในอนาคต ซึ่งดำเนินการด้วยพันธกิจ

โดย 1.การพัฒนาพื้นที่ศูนย์ธุรกิจศูนย์การเงิน 2.พัฒนาพื้นที่สำหรับศูนย์ราชการสำคัญ ศูนย์วิจัยและพัฒนา สถาบันการศึกษา 3.พัฒนาเมืองให้มีความทันสมัย น่าอยู่สำหรับคนทุกกลุ่ม 4.เป็นศูนย์ธุรกิจและเมืองน่าอยู่อัจฉริยะนำร่องที่รัฐเป็นเจ้าของที่ดิน เอกชนเป็นผู้ร่วมลงทุน และประชาชนเจ้าของพื้นที่มีส่วนร่วมในการลงทุน

ส่วนการขับเคลื่อนร่างแผนปฏิบัติการ ดำเนินการภายใต้ 6 ยุทธศาสตร์ ดังนี้ ยุทธศาสตร์ที่ 1 ออกแบบวางแผนเชิงพื้นที่เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยมีเป้าประสงค์ ยุทธศาสตร์ที่ 2 สร้างแพลตฟอร์มข้อมูล และนวัตกรรม เพื่อการพัฒนาเมืองที่ยั่งยืน ยุทธศาสตร์ที่ 3 สร้างระบบเทคโนโลยีความน่าอยู่อัจฉริยะ ครบทั้ง 7 ด้าน คือ การสัญจรอัจฉริยะ (Smart Mobility) พลังงานอัจฉริยะ (Smart Energy) สิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ (Smart Environment) การดำรงชีวิตอัจฉริยะ (Smart Living) พลเมืองอัจฉริยะ (Smart People) เศรษฐกิจอัจฉริยะ (Smart Economy) การบริหารภาครัฐอัจฉริยะ (Smart Governance) ยุทธศาสตร์ที่ 4 สร้างสภาพแวดล้อมรองรับธุรกิจ เศรษฐกิจนวัตกรรม การวิจัยและพัฒนา ยุทธศาสตร์ที่ 5 สร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน และยุทธศาสตร์ที่ 6 สร้างธรรมาภิบาลมาตรฐานสากล ความร่วมมือระดับนานาชาติ

 

รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ระยะเวลาในการพัฒนาโครงการ รวม 10 ปี โดยแบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 (พ.ศ.2566 - 2570) พัฒนาพื้นที่ 5,795 ไร่ (40% ของพื้นที่โครงการ) เช่น พัฒนาย่านศูนย์กลางธุรกิจ และศูนย์กลางการเงิน ย่านสำนักงานภูมิภาค สถานที่ราชการ และที่อยู่อาศัย ระยะที่ 2 (พ.ศ.2571 - 2572) พัฒนาพื้นที่ 4,254 ไร่ (29% ของพื้นที่โครงการ) เช่น พัฒนาส่วนต่อขยายย่านศูนย์ธุรกิจเฉพาะด้านศูนย์การแพทย์แม่นยำ และการแพทย์เพื่ออนาคต ศูนย์การศึกษา ระยะที่ 3 (พ.ศ.2573 - 2575) พัฒนาพื้นที่ 4,570 ไร่ (31% ของพื้นที่โครงการ) เช่น พัฒนาพื้นที่ผสมผสานเชิงพาณิชย์ และที่อยู่อาศัย และกิจการเป้าหมายต่อเนื่องจนเต็มพื้นที่โครงการ

สำหรับกรอบวงเงินลงทุนประมาณ 1.35 ล้านล้านบาท ตลอดระยะเวลาโครงการ 10 ปี มีสัดส่วนการลงทุนมาจาก 3 แหล่ง คือ 1.เงินลงทุนโดยภาครัฐ ประมาณ 37,674 ล้านบาท (2.8%) เช่น ค่าชดเชยที่ดิน ค่าดำเนินการปรับพื้นที่ โครงสร้างพื้นฐาน และสาธารณูปโภคส่วนกลาง 2.รัฐวิสาหกิจหรือเอกชนหรือร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน ประมาณ 131,119 ล้านบาท (9.7%) เช่น ระบบดิจิทัล ระบบบริหารจัดการอัจฉริยะ และระบบขนส่งสาธารณะในเมือง ระบบจัดการขยะ และ 3.ภาคเอกชน ประมาณ 1.18 ล้านล้านบาท (87.5%)

ทั้งนี้ ประโยชน์ที่จะได้รับจากการสร้างเมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะของ EEC ได้แก่ การสร้างเมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะ สามารถรองรับประชากรประมาณ 350,000 คน ภายในปี 2575 รวมทั้งคนในพื้นที่เดิม

 

นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างงานทางตรงไม่น้อยกว่า 200,000 ตำแหน่ง ภายในปี 2575 มีแรงงานทักษะสูง มีรายได้ที่สูงขึ้น และมีมูลค่าการจ้างงานกว่า 1.2 ล้านล้านบาท มีธุรกิจ และบริการตามมาตรฐานสากล มีวิสาหกิจเริ่มต้น (Start-up) ประมาณ 150 - 300 กิจการ

จากมูลค่าการลงทุนโดยรวมประมาณ 1.35 ล้านล้านบาท จะสามารถช่วยกระตุ้นการขยายตัวของ GDP เพิ่มขึ้นประมาณ 2 ล้านล้านบาท ภายใน 10 ปี และสร้างพลังทางเศรษฐกิจให้ประเทศหลังสถานการณ์โควิด-19 และ สินทรัพย์ที่โอนกรรมสิทธิ์กลับมาเป็นของรัฐ เมื่อสิ้นสุดสัญญา 50 ปี จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นประมาณ 5 เท่า

นับเป็นเรื่องที่ดีที่จะมีแผนพัฒนาเมืองอัจฉริยะ เพื่อเป็นศูนย์กลางธุรกิจ และการเงินระดับภูมิภาค เพื่อทำให้ประเทศไทยมีเมืองที่น่าอยู่ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้นแต่ยังคงต้องใช้ระยะเวลาการพัฒนาอีกมากที่จะเกิดเมืองอัจฉริยะที่เป็นรูปธรรมได้จริงๆ

 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์