ไทย-สหรัฐร่วมแรงเร่งเครื่อง เปลี่ยนผ่านสังคมคาร์บอนต่ำ
เมื่อเร็วๆนี้ นางมาริสา ลาโก (Mrs. Marisa Lago) ปลัดกระทรวงพาณิชย์สหรัฐ ด้านการค้าระหว่างประเทศ (Under Secretary for International Trade) เข้าเยี่ยมคารวะ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
ทั้งสองฝ่ายหารือถึงการจัดงาน Trade Winds 2023 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
โดยเลือกให้ประเทศไทยเป็นประเทศหลักของการประชุม ซึ่งเชื่อมั่นว่างานดังกล่าวจะช่วยส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าให้ก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งสร้างโอกาสทางการค้าและการลงทุนใหม่ ๆ ให้แก่ประเทศไทยและภูมิภาค
สำหรับงานTrade Winds 2023 ในปีนี้เลือกประเทศไทยซึ่งมีศักยภาพเป็นศูนย์กลางการประชุม เชื่อว่าจะสามารถส่งเสริมภาคธุรกิจได้อีกหลากหลายประเภทผ่านการจับคู่ทางธุรกิจ โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี Startup นวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ภาคเอกชนสหรัฐ ที่ให้ความสนใจ ทั้งนี้ สหรัฐ ยืนยันว่า พร้อมสนับสนุนภาคธุรกิจของไทยในส่วนที่มีศักยภาพร่วมกันเพื่อประโยชน์แก่ประชาชน รวมถึงต่อยอดความร่วมมือไปยังภูมิภาคด้วย
โดยประเทศไทยในมุมองสหรัฐเห็นว่า เป็นที่ตั้งฐานการผลิตและโครงการลงทุนของบริษัทชั้นนำของสหรัฐ มาอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงด้านการส่งออกในภาคเกษตรกรรม ซึ่งนายรอเบิร์ต เอฟ. โกเด็ก (Mr. Robert F. Godec) เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ได้กล่าวเสริมว่า ปัจจุบันภาคเอกชนสหรัฐ กว่า 48 บริษัทให้ความสนใจร่วมลงทุนทั้งในไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะไทยที่มีศักยภาพมากในด้านการพัฒนาธุรกิจผ่านเทคโนโลยี Startup รวมทั้งสหรัฐ มีแนวทางที่จะส่งเสริมบทบาทสตรีในธุรกิจ Startup อีกด้วย ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีเห็นพ้องถึงโอกาสสำคัญที่ไทยจะขยายความร่วมมือดังกล่าวผ่านการส่งเสริมภาคธุรกิจ สร้างขีดความสามารถเพื่อพัฒนาในด้านที่อาศัยนวัตกรรมมากขึ้น
ด้านการใช้เทคโนโลยีในภาคเกษตรกรรม รองนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมสำคัญอย่างยิ่งสำหรับภาคเกษตรกรรมเพื่อวางแผนการเกษตรให้เหมาะสมตามฤดูกาล โดยต้องส่งเสริมให้เกษตรกรเข้าถึงเทคโนโลยีได้โดยสะดวก รวมทั้งจะช่วยลดผลกระทบต่อภาวะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งจะต่อยอดไปถึงการสร้างความมั่นคงทางอาหารด้วย สอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่รัฐบาลไทยผลักดัน
ขณะที่สหรัฐให้ความสำคัญต่อการพัฒนานวัตกรรมในภาคการเกษตรเป็นอย่างมาก ซึ่งจะเป็นมูลค่าการส่งออกที่สำคัญในอนาคต และเห็นพ้องถึงการใช้นวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อการสร้างความยั่งยืนทางธุรกิจร่วมกัน
นอกจากนี้ ไทยได้ระบุถึง การส่งเสริมธุรกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) ซึ่งปัจจุบันทุกภาคส่วนให้ความสำคัญเป็นอย่างมากในการประกอบธุรกิจที่คำนึงสังคมและสิ่งแวดล้อม เช่น การทำธุรกิจ Startup ของคนไทยที่ได้รับประสบการณ์จาก สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) มาพัฒนาเทคโนโลยีที่ใช้งานง่ายให้เกษตรกรไทย ถือเป็นธุรกิจเพื่อสังคมที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้เกษตรกร
ด้านพลังงาน ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะพัฒนาด้านพลังงานสะอาดและพลังงานหมุนเวียน โดยกำลังเปลี่ยนผ่านสู่สังคมและเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ซึ่งรัฐบาลมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนประเทศให้เป็นศูนย์กลางการผลิตระดับโลกสำหรับเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้า (EV, ZEV) แบตเตอรี่ความจุสูง และระบบและส่วนประกอบที่เกี่ยวข้อง โดยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนของพลังงานสะอาดเป็น 50% ของพลังงานทั้งหมดที่ผลิตได้ ซึ่งสหรัฐชื่นชมนโยบาย Net Zero ของไทย ที่จะเป็นประโยชน์ในการประสานความร่วมมือด้านพลังงานระหว่างกันได้มากขึ้น
สำหรับการประชุมนโยบายพลังงานสหรัฐ - ไทย ครั้งที่ 3 ณ กรุงวอชิงตัน สหรัฐ(3rd U.S. – Thailand Energy Policy Dialogue) ในเดือนเม.ย.นี้ จะเป็นประโยชน์ในการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีและส่งเสริมการลงทุนด้านพลังงานสะอาดร่วมกันได้
โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายยังเน้นย้ำถึงการสานต่อความร่วมมือระหว่างภูมิภาคผ่านกรอบความร่วมมือต่าง ๆ โดยรองนายกรัฐมนตรีฯ ยืนยันว่า ไทยพร้อมทำงานร่วมกับสหรัฐอย่างใกล้ชิด เพื่อขับเคลื่อนการเจรจาให้คืบหน้าและสร้างผลประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมให้แก่ประชาชน