CCS เทคโนโลยีกู้โลก ใช้ประโยชน์จากคาร์บอน
เทคโนโลยี CCS (Carbon Capture and Storage) คือ เทคโนโลยีดักจับ และกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) จากโรงไฟฟ้าประเภทถ่านหิน กระบวนการกลั่นน้ำมัน โรงไฟฟ้า หรืออุตสาหกรรมขนาดใหญ่ โดยจะถูกแยกออกจากก๊าซชนิดอื่น ผ่านกระบวนการทางเคมีด้วยสารละลายเอมีน (Amine)
ซึ่งเป็นกระบวนการที่ใช้ทั่วไปในอุตสาหกรรมโรงกลั่น และการผลิตก๊าซธรรมชาติ จากนั้น จะถูกกักเก็บในรูปของ CO2 ที่มีความบริสุทธิ์สูง (มากกว่า 99%) และฉีดอัดก๊าซฯ ลงสู่ใต้ดินที่ความลึกหลายกิโลเมตร ซึ่งจะถูกเก็บไว้ไม่รั่วไหลออกมาเป็นเวลาหลายล้านปี
การใช้เทคโนโลยี CCS มีจุดมุ่งหมายเพื่อป้องกันไม่ให้มีการปล่อย CO2 ในปริมาณมากเข้าสู่ชั้นบรรยากาศคือหนึ่งในมาตรการที่จะลดการปล่อยก๊าซจากเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน
นอกจากการกักเก็บคาร์บอนไว้แล้ว เทคโนโลยีที่ล้ำหน้ากว่าคือ การนำคาร์บอนมาใช้ประโยชน์ โดยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทวีความรุนแรงมากขึ้น ประเทศต่างๆ ทั่วโลกตระหนัก และให้ความสำคัญในการลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในฐานะหน่วยงานด้านพลังงานของประเทศมีความมุ่งมั่นพัฒนาการผลิต และส่งไฟฟ้าด้วยนวัตกรรม และเทคโนโลยีที่ทันสมัย พร้อมสนับสนุนกิจกรรมเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ไฟฟ้า และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจึงได้ร่วมกับ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิจัยและพัฒนานวัตกรรมภายใต้โครงการนี้ และใช้ประโยชน์จากคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture Utilization:CCU) ที่มีเป้าหมายสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากโรงไฟฟ้า ผลที่ได้จากงานวิจัยครั้งนี้ จะช่วยพัฒนาองค์ความรู้ สู่อุปกรณ์ต้นแบบสำหรับทดลองกับโรงไฟฟ้า กฟผ. เพื่อบรรเทาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ลดผลกระทบจากวิกฤตการณ์ภาวะโลกร้อนอย่างยั่งยืน
นำไปสู่การทำ"สัญญารับทุนวิจัยพัฒนา และนวัตกรรมเรื่อง “การศึกษาการเปลี่ยนคาร์บอนไดออกไซด์เป็นเมทานอลด้วยปฏิกิริยาไฮโดรจีเนชันโดยตรงของคาร์บอนไดออกไซด์สำหรับการลดการปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่บรรยากาศจากอุตสาหกรรมโรงไฟฟ้า”(Study of Direct Hydrogenation of CO2to Methanol for decarbonization from flue gas of power plant) ระหว่าง กฟผ. และ ศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Chula Unisearch)
“จุดเริ่มต้นที่ดีในการพัฒนาต่อยอดสู่ระดับที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์จากก๊าซเรือนกระจกให้มากขึ้น เพื่อมุ่งสู่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ก่อให้เกิดประโยชน์ และผลดีต่อสิ่งแวดล้อมของประเทศ และโลกต่อไป”
สำหรับ กฟผ. กำหนดนโยบายมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน หรือ “EGAT Carbon Neutrality” ภายในปี พ.ศ.2593 เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของประเทศไทย ภายในปี 2608 ภายใต้กลยุทธ์ “Triple S” ประกอบด้วย1)S-Sources Transformation นำเทคโนโลยีที่ทันสมัย และเพิ่มสัดส่วนพลังงานทางเลือกที่สะอาด และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มาใช้ในการผลิตไฟฟ้า
2)S-Sink Co-creation เดินหน้าโครงการปลูกป่า 1 ล้านไร่ และประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture Utilization and Storage:CCUS) เพื่อดูดซับ และกักเก็บคาร์บอนอย่างมีส่วนร่วม และ3)S-Support Measures Mechanism ส่งเสริมให้เกิดการใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงสนับสนุนโครงการเสริมสร้างเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (BCG Economy) ที่ช่วยลดการปลดปล่อยคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศ
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์