พลิกโฉมวัดผลความยั่งยืน  ด้วย “ผลตอบแทนทางสังคม” (SROI)

สวัสดีครับ span class=“BOLD”> ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์ทางการเงิน และความจริงที่ว่าโลกของเรากำลังต่อสู้กับทั้งปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และปัญหาสังคม มีนักลงทุนจำนวนไม่น้อยที่เล็งเห็นความสำคัญของผลตอบแทน

จากการลงทุนที่นอกเหนือจากเม็ดเงิน  หนึ่งในผลตอบแทนที่ไม่ใช่ตัวเงินดังกล่าวนั้นคือ ผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุน (Social Return on Investment: SROI)

ทำไมจึงต้องวัดผลตอบแทนทางสังคม คำตอบง่ายๆ คือ เราจะได้ทราบว่าโครงการที่เราลงทุนไปนั้น มีผลประโยชน์ที่จะตกแก่สังคมอย่างไรบ้าง หรือสังคมได้ผลตอบแทนมากน้อยเท่าไร แทนที่จะรู้เพียงแค่ว่าเราได้เงินกลับเข้ากระเป๋าเท่าไร จากการลงทุนนั้นๆ หรือกล่าวได้อีกนัยหนึ่งว่าโครงการนั้นๆ ไม่เพียงสร้างผลตอบแทนเป็นตัวเงินให้แก่ผู้ลงทุนเท่านั้น แต่ยังมีความตั้งใจที่จะทำคุณประโยชน์กลับคืนสู่สังคมไปพร้อมกันอีกด้วย

ที่สำคัญ “คุณประโยชน์” ที่ว่านั้นสามารถวัดออกมาเป็นตัวเงิน (Monetized Value) ได้อย่างชัดเจนถึงขนาดว่า เงินลงทุนแต่ละบาทนั้น สังคมได้ผลตอบแทนกี่สตางค์ โดยการวิเคราะห์ผลตอบแทนทางสังคมพยายามแปลงผลของการเปลี่ยนแปลงจากการลงทุนที่เกิดขึ้นแก่สังคมให้เป็นมูลค่าที่มีหน่วยวัดเดียวกับเงินตรา ทำให้เกิดความชัดเจนในวิธีการวิเคราะห์คุณค่าของโครงการต่างๆ ต่อสังคม

นี่คือ สิ่งที่นักลงทุนในยุคใหม่สนใจครับ

ท่านผู้อ่านคงคุ้นเคยกับอัตราส่วน ROI หรือ Return on Investment ซึ่งเป็นผลตอบแทนทางการเงินจากการลงทุนที่ได้รับเมื่อเทียบกับต้นทุน โดย SROI นี้มีแนวคิดคล้ายคลึงกัน แต่จะมุ่งเน้นไปยังมิติด้านผลตอบแทนด้านสังคม นอกจากนี้ SROI ยังบอกได้ถึงความเสี่ยง และภาระทางการเงินที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างครอบคลุม อันจะช่วยให้นักลงทุนมีข้อมูลเสริมการตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้น

ดังนั้น หากบริษัทใดให้ความสำคัญกับการสร้างผลกระทบเชิงบวกทางสังคม และอาจจะรวมถึงผลกระทบเชิงบวกด้านสิ่งแวดล้อม ก็ย่อมจะได้ประโยชน์จากชื่อเสียงที่ดี สะท้อนจากการมี SROI ที่ดี และจะดึงดูดเม็ดเงินลงทุนให้ไหลเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย 

ปัญหาอยู่ที่ว่าเราจะดูได้อย่างไรว่าโครงการไหนมีผลตอบแทนทางสังคมเชิงบวกบ้าง Social Value International (SVI) ซึ่งเป็นองค์กรระหว่างประเทศที่ส่งเสริม และสนับสนุนการสร้างคุณค่าทางสังคมได้คิดค้นและเสนอแนะวิธีพิจารณา SROI ของธุรกิจด้วยการใช้หลักการที่เรียกว่า “The Principles of Social Value” ได้แก่

1. การมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสีย (Involve Stakeholders)

2. วิเคราะห์ว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไร (Understand What Changes)

3. ให้คุณค่ากับสิ่งที่สำคัญต่อผู้มีส่วนได้เสีย (Value the Things That Matter)

4. วัดเฉพาะมูลค่าของสิ่งสำคัญจริงๆ เท่านั้น (Only Include What is Materials)

5. ไม่นำเสนอข้อมูลเกินจริง (Do Not Over-Claim)

6. มีความโปร่งใสในการเปิดเผยข้อมูล (Be Transparent)

7. สามารถตรวจสอบผลการวัดได้ (Verify the Results)

8. มีแนวทางแก้ไขปัญหาผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้เสีย (Be Responsive)

โดยหลักการทั้งหมดนี้เป็นกรอบการประเมินที่น่าสนใจ ซึ่งภาคธุรกิจสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ตามรูปแบบการดำเนินกิจการของตน และหากสามารถนำ SROI มาใช้วัดผลกระทบเชิงบวกทางสังคมจากการลงทุนของตนเองได้จริง ก็จะถือเป็นแต้มต่อด้านความแข็งแกร่งของแหล่งที่มาของเงินทุนเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ นอกจากนักลงทุนแล้ว สถาบันการเงินส่วนใหญ่ในปัจจุบันก็ให้ความสำคัญถึงผลกระทบจากการสนับสนุนทางการเงิน ทั้งทางด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ซึ่งทั้งสามองค์ประกอบมีความเชื่อมโยงกันจนเรียกได้ว่าไม่สามารถแยกออกจากกันได้

ดังนั้น ธุรกิจที่สามารถชูศักยภาพของโครงการตนเองด้านความยั่งยืนผ่าน SROI ก็จะสามารถดึงดูดเงินทุนได้ง่ายกว่านั่นเอง แน่นอนว่าจะทำเช่นนี้ได้ธุรกิจจะต้องสร้างความมั่นใจผ่านหลักการข้างต้น และทำตามขั้นตอนที่จำเป็น

จากทั้งหมดนี้ ธุรกิจสามารถเริ่มได้ง่ายๆ จากการเริ่มศึกษาแนวคิดการวัดผลตอบแทนทางสังคมอย่างจริงจัง โดยปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญเพื่อกำหนดวัตถุประสงค์ทางสังคม และอาจจะรวมถึงด้านสิ่งแวดล้อมตามบริบทของตน ตลอดจนติดตามแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของผลกระทบที่เกี่ยวข้องอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินไปอย่างยั่งยืน และรับผิดชอบ เพราะท้ายที่สุดแล้ว ผลกำไรที่ดีควรควบคู่ไปกับสังคม และสิ่งแวดล้อมที่ดีนั่นเองครับ

 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์