'ไทย' คุณภาพอากาศแย่ อันดับ 36 ของโลก อันดับ 5 ในอาเซียน

'ไทย' คุณภาพอากาศแย่ อันดับ 36 ของโลก อันดับ 5 ในอาเซียน

IQAir  รายงานคุณภาพอากาศโลกปี 2566 ไทยมีคุณภาพอากาศในระดับที่แย่เป็นอันดับที่ 5 จากทั้งหมด 9 ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน และอยู่ในอันดับที่ 36 จาก 134 ประเทศทั่วโลก ซึ่งถือว่าคุณภาพอากาศแย่กว่าปี 2565 ที่ไทยอยู่อันดับ 57 ของโลก 

KEY

POINTS

  • IQAir  รายงานคุณภาพอากาศโลกปี 2566 ไทยมี 'คุณภาพอากาศ' ในระดับที่แย่เป็นอันดับที่ 5 จากทั้งหมด 9 ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน
  • อยู่ในอันดับที่ 36 จาก 134 ประเทศทั่วโลก ซึ่งถือว่าคุณภาพอากาศแย่กว่าปี 2565 ที่ไทยอยู่อันดับ 57 ของโลก และกว่า 124 ประเทศจาก มีคุณภาพอากาศเฉลี่ยรายปีสูงเกินค่าแนะนำของ WHO
  • กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีคุณภาพอากาศแย่เป็นอันดับที่ 37 ของเมืองที่มีมลพิษทางอากาศมากที่สุดของโลก มีปริมาณฝุ่นพิษ PM2.5 เฉลี่ยรายปี 21.7 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

กรีนพีซ ประเทศไทย เผย รายงาน คุณภาพอากาศโลกปี 2566 ฉบับที่ 6 ซึ่ง IQAir จัดทำขึ้น มีการวิเคราะห์ผลโดยนักวิทยาศาสตร์เพื่อนำเสนอข้อมูลคุณภาพอากาศ จากสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศมากกว่า 30,000 สถานีใน 7,812 พื้นที่ ครอบคลุม 134 ประเทศ และภูมิภาค

 

7 ประเทศที่มีคุณภาพอากาศต่ำกว่าค่าแนะนำคุณภาพอากาศของ องค์การอนามัยโลก (WHO) (ค่าเฉลี่ยรายปี 5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร) ได้แก่

  • ออสเตรเลีย
  • เอสโตเนีย
  • ฟินแลนด์
  • กรีนาด้า
  • ไอซ์แลนด์
  • มอริเชียส
  • นิวซีแลนด์

 

5 ประเทศที่คุณภาพอากาศแย่สุดในโลก 

  • บังคลาเทศ มีปริมาณฝุ่นพิษPM 2.5 เฉลี่ยรายปีสูงกว่าค่าแนะนำคุณภาพอากาศของ WHO ถึง 15 เท่า
  • ปากีสถาน มีปริมาณฝุ่นพิษPM 2.5 เฉลี่ยรายปีสูงกว่าค่าแนะนำคุณภาพอากาศของ WHO ถึง 14 เท่า
  • อินเดีย มีปริมาณฝุ่นพิษPM 2.5 เฉลี่ยรายปีสูงกว่าค่าแนะนำคุณภาพอากาศของ WHO ถึง 10 เท่า
  • ทาจิกิสถาน มีปริมาณฝุ่นพิษPM 2.5 เฉลี่ยรายปีสูงกว่าค่าแนะนำคุณภาพอากาศของ WHO ถึง 9 เท่า
  • บูร์กินาฟาโซ มีปริมาณฝุ่นพิษ PM 2.5 เฉลี่ยรายปีสูงกว่าค่าแนะนำคุณภาพอากาศของ WHO ถึง 9 เท่า
  • กว่า 124 ประเทศจาก 134 ประเทศและภูมิภาค มีคุณภาพอากาศเฉลี่ยรายปีสูงเกินค่าแนะนำของ WHO

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง 

 

คุณภาพอากาศ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

คุณภาพอากาศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เฉลี่ยรายปี พบว่า ปี 2566 แย่กว่า ปี 2565 โดยมีปริมาณฝุ่นพิษ PM2.5 เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 20 และใน 5 พื้นที่ที่คุณภาพอากาศแย่ มีปริมาณฝุ่นพิษ PM2.5 มากกว่า 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งในปี 2565 ไม่มีพื้นที่ไหนที่มีค่าเฉลี่ยรายปีสูงเกินนี้

 

สถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น แต่กว่าร้อยละ 60 เป็นของภาคประชาชน สถาบันการศึกษา ในขณะที่สถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศของหน่วยงานรัฐมีจำนวนน้อยกว่ามาก

 

ประเทศไทย คุณภาพอากาศแย่ อันดับ 36 ของโลก

  • ประเทศไทย มีคุณภาพอากาศแย่เป็นอันดับที่ 36 ของโลก
  • อันดับที่ 5 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
  • มีปริมาณฝุ่นพิษ PM2.5 เฉลี่ยรายปีที่ 23.3 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
  • โดยสูงกว่าค่าแนะนำคุณภาพอากาศของ WHO ถึง 4.7 เท่
  • กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีคุณภาพอากาศแย่เป็นอันดับที่ 37 ของเมืองที่มีมลพิษทางอากาศมากที่สุดของโลก มีปริมาณฝุ่นพิษ PM2.5 เฉลี่ยรายปี 21.7 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
  • จังหวัดเชียงราย และ อำเภอปายในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ถูกจัดอยู่ใน 5 อันดับแรกของพื้นที่ที่มีฝุ่นพิษ PM2.5 แย่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 
  • ประเทศไทยมีค่าเฉลี่ยฝุ่นพิษ PM2.5 รายปีเพิ่มขึ้นร้อยละ 28 เมื่อเปรียบเทียบข้อมูลในปี 2565
  • เพิ่มจาก 18.1ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เป็น 23.3 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

 

ทั้งนี้ ในปี 2566 เดือนกุมภาพันธ์ - เมษายน เป็นช่วงที่มีคุณภาพอากาศแย่ที่สุด  โดยจังหวัดเชียงใหม่มีค่าเฉลี่ยฝุ่นพิษ PM2.5 รายเดือนเพิ่มจาก 53.4 เป็น 106.4 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 150 เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยรายเดือนของช่วงเวลาเดียวกันในปี 2565

 

รัตนศิริ กิตติก้องนภางค์ นักรณรงค์ด้านอาหารและป่าไม้ กรีนพีซ ประเทศไทย กล่าวว่า ฝุ่นพิษข้ามพรมแดนเป็นวิกฤตสุขภาพที่คุกคามประชาชนในภาคเหนือมาร่วม 20 ปี โดยปี 2566 ที่ผ่านมา ประชาชนในภาคเหนือต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นปีที่มีฝุ่นพิษเลวร้ายที่สุด จะเห็นได้จากข้อค้นพบในรายงานที่ระบุว่าในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน จังหวัดเชียงราย และ แม่ฮ่องสอน มีตัวเลขค่าเฉลี่ยค่าฝุ่นพิษ PM2.5 รายชั่วโมงพุ่งสูงสุดเกิน 300 AQI และกลายเป็น เมืองที่ติดอันดับมลพิษสูงสุดของโลก 

 

ข้อมูลจากรายงานของ กรีนพีซ ประเทศไทย เผยว่า การขยายตัวของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ คือ ตัวการสำคัญในการขยายการลุงทุนข้ามแดนและพื้นที่เพาะปลูกในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ท้ายที่สุดก็ก่อฝุ่นพิษข้ามแดนกลับมายังไทย

 

"รัฐควรเร่งกำหนดให้พ.ร.บ.อากาศสะอาดมีระบบตรวจสอบย้อนกลับอย่างโปร่งใสตลอดห่วงโซ่อุปทานและบังคับใช้กฎหมายที่สามารถเอาผิดอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ที่เชื่อมโยงกับฝุ่นพิษข้ามพรมแดนและการทำลายป่า เพราะนี่คือวิกฤตเร่งด่วนที่รัฐต้องให้ความสำคัญต่อสุขภาพของประชาชน มากกว่าผลกำไรของบริษัทอุตสาหกรรม”

 

ด้าน อัลลิยา เหมือนอบ นักรณรงค์ด้านมลพิษทางอากาศ กรีนพีซ ประเทศไทย กล่าวว่า ในปี 2566 ที่ผ่านมากรีนพีซ และองค์กรภาคีเครือข่ายภาคประชาชน ร่วมกันรณรงค์ผลักดันกฎหมาย PRTR เพื่อให้เกิดการเปิดเผยข้อมูลการปล่อยสารมลพิษจากแหล่งกำเนิด เพื่อเป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารจัดการมลพิษอย่างมีประสิทธิภาพ

 

เพราะปัจจุบันหน่วยงานรัฐยังขาดฐานข้อมูลการปลดปล่อยสารมลพิษ (emission inventory) จึงทำให้การกำหนดนโยบายและแผนบริหารฝุ่นพิษ PM2.5 ยังไม่มีประสิทธิภาพดีพอ เพราะไม่สามารถระบุได้ว่า แหล่งกำเนิดที่แท้จริงมาจากที่ใดบ้าง และมีปริมาณการปลดปล่อยมลพิษออกมามากน้อยเท่าใด

 

มาตรการของรัฐที่เห็นจึงมุ่งเน้นไปที่การบริหารจัดการไฟป่า การเผาของภาคเกษตร และการจราจร ที่ใช้งบประมาณและทรัพยากรจำนวนมาก ในขณะที่ภาคอุตสาหกรรม ที่เป็นหนึ่งในสาเหตุของการปล่อยมลพิษกลับถูกละเลยไปทั้งๆ ที่เป็นแหล่งกำเนิดที่ปล่อยมลพิษเกือบ 24 ชั่วโมงและตลอดทั้งปี

 

จากข้อมูลรายงานคุณภาพอากาศโลกปี 2566 แสดงให้เห็นว่า ภาครัฐจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษที่ต้นเหตุของแหล่งกำเนิด PM 2.5 อย่างจริงจัง โดยต้องกำหนดนโยบาย งบประมาณ และยกระดับให้เป็นวาระแห่งชาติ และต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน มีประสิทธิภาพ โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนเหนือกลุ่มทุนอุตสาหกรรม เพราะการเข้าถึงอากาศสะอาด คือ สิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน