‘ปุ๋ยจากศพ’ วิธีจัดการร่างในวันไร้ลมหายใจ เทรนด์ใหม่ในสหรัฐ

‘ปุ๋ยจากศพ’ วิธีจัดการร่างในวันไร้ลมหายใจ เทรนด์ใหม่ในสหรัฐ

“ปุ๋ยมนุษย์” (Human Composting) เป็นการจัดการร่างไร้วิญญาณของมนุษย์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมสร้างประโยชน์แก่โลกได้อีก การจัดการศพด้วยการทำปุ๋ยกำลังจะถูกกฎหมายในหลายรัฐทั่วสหรัฐ

KEY

POINTS

  • “การทำปุ๋ยมนุษย์” (Human Composting) เป็นวิธีการจัดการกับศพที่ทำให้มนุษย์หลอมรวมเป็นหนึ่งกับธรรมชาติ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมสร้างประโยชน์แก่โลก โดยจะช่วยเร่งกระบวนการสลายตัวของร่างกายมนุษย์ให้กลายเป็นดิน ภายใน 45 วัน
  • ปัจจุบันปุ๋ยมนุษย์ กำลังได้รับความสนใจอย่างมากในสหรัฐ โดยผ่านกฎหมายไปแล้วทั้งหมด 8 รัฐ และกำลังพิจารณาให้ถูกกฎหมายในรัฐอื่น ๆ ทั่วประเทศ
  • แม้ศาสนาจักรจะไม่เห็นด้วยกับการจัดการศพด้วยการนำไปทำปุ๋ย เพราะขัดกับคำสอนทางสาสนา และเห็นว่าเป็นการไม่ให้เกียรติและเคารพผู้เสียชีวิต แต่ผู้คนจำนวนมากจากทุกสาขาอาชีพต่างปรารถนาให้ร่างของตนเองได้กลับคืนสู่ธรรมชาติ กลายเป็นปุ๋ยเพื่อสร้างประโยชน์ให้แก่โลกใบนี้ 

ตายแล้วไปไหน ยังไม่มีใครรู้ แต่ที่แน่ ๆ ในปัจจุบันมนุษย์สามารถเลือกกับวิธีจัดการร่างกายของเราในวันที่ไร้ลมหายใจได้หลากหลายวิธี โดยหนึ่งในวิธีที่สร้างประโยชน์ให้แก่โลกได้ดีที่สุดคือ “การทำปุ๋ยมนุษย์” (Human Composting) ซึ่งกำลังได้รับความนิยมอย่างมากในสหรัฐ

ปุ๋ยมนุษย์” เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยลดปริมาณสารอินทรีย์ตามธรรมชาติ โดยจะช่วยเร่งกระบวนการสลายตัวของร่างกายมนุษย์ให้กลายเป็นดินที่ปรกติอาจใช้เวลาหลายปี ให้เหลือเพียงไม่กี่สัปดาห์ 

กลุ่มผู้สนับสนุนการทำปุ๋ยมนุษย์ ระบุว่าวิธีนี้เป็นการทำให้มนุษย์หลอมรวมเป็นหนึ่งกับธรรมชาติ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมสร้างประโยชน์แก่โลกได้อีก แต่กลุ่มผู้ที่เคร่งศาสนาชี้ว่าวิธีดังกล่าว ละเมิดหลักคำสอนทางศาสนา และทำให้วิญญาณไม่ไปสู่โลกหลังความตายได้สมบูรณ์ แม้จะยังมีคนไม่เห็นด้วยอยู่ แต่การจัดการศพด้วยการทำปุ๋ยกำลังจะถูกกฎหมายในหลายรัฐทั่วสหรัฐ

 

“ปุ๋ยมนุษย์” ทยอยถูกกฎหมายทั่วสหรัฐ

โดยพื้นฐานแล้ว การทำปุ๋ยมนุษย์ไม่มีขั้นตอนอะไรที่ซับซ้อน เพียงนำร่างของผู้เสียชีวิตบรรจุไว้ในโลงศพที่มีเศษไม้ หญ้า และต้นแอลแฟลฟา ภายใต้อุณหภูมิและสภาวะเหมาะสมที่สุด เพื่อเร่งกระบวนการสลายตัว หลังจากนั้นประมาณ 45 วัน 

เมื่อกระบวนการเสร็จสมบูรณ์ จะนำดินที่ได้ไปทดสอบเพื่อให้แน่ใจว่ามีสารอาหารครบถ้วนและมีคุณภาพสูงก่อนนำไปใช้ 

แอริโซนาเป็นรัฐล่าสุดที่ให้การทำปุ๋ยหมักของมนุษย์ถูกกฎหมาย โดยผู้ว่าการรัฐจากพรรคเดโมแครต เคธี ฮอบส์ ได้ลงนามในร่างกฎหมายที่อนุญาตให้กระบวนการดังกล่าวมีผลบังคับใช้ในเดือนเมษายน 2023  ร่างกฎหมายดังกล่าวผ่านสภานิติบัญญัติของรัฐแอริโซนาอย่างง่ายดาย โดยได้รับการสนับสนุนจากทั้งพรรคเดโมแครตและรีพับลิกัน

มอร์แกน ยาร์โบโร ผู้จัดการฝ่ายบริการของ Recompose บริษัททำปุ๋ยมนุษย์ กล่าวกับ Newsweek ในการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ว่า รัฐแอริโซนาให้ผ่านกฎหมายเป็นเพราะ เห็นตรงกันว่านี่เป็น “ทางเลือกส่วนบุคคล” ที่ควรได้รับการยอมรับ

“ในฐานะที่ฉันทำงานนี้ ฉันเห็นลูกค้ามีแนวคิดทางการเมืองที่หลากหลายมาใช้บริการ ทั้งพวกอนุรักษนิยมและประชาธิปไตย พวกเขาเพียงแค่ต้องการทำตามความปรารถนาครั้งสุดท้ายในชีวิตเท่านั้นเอง” ยาร์โบโรกล่าว

วอชิงตันเป็นรัฐแรกที่ออกกฎหมายให้การทำปุ๋ยหมักของมนุษย์ถูกกฎหมายในปี 2019 นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา มีอีก 7 รัฐ ที่ทยอยให้การจัดการศพด้วยการทำปุ๋ยเป็นเรื่องที่ถูกกฎหมาย ได้แก่ แคลิฟอร์เนีย โคโลราโด ออริกอน นิวยอร์ก เนวาดา เวอร์มอนต์ และล่าสุดแอริโซนา 

ขณะที่รัฐอื่น ๆ เช่น เดลาแวร์ แมริแลนด์ และนิวเจอร์ซีย์ กำลังพิจารณาร่างกฎหมายเพื่อทำให้วิธีนี้ถูกต้องตามกฎหมาย โดยในบรรดารัฐทั้งหมด  รัฐเดลาแวร์มีความก้าวหน้ามากที่สุด วุฒิสภาของรัฐได้ผ่านร่างกฎหมายดังกล่าว เหลือเพียงแค่ให้ จอห์น คาร์นีย์ ผู้ว่าการรัฐจากพรรคเดโมแครตลงนามในกฎหมาย ซึ่งในขณะนี้ทีมกฎหมายและนโยบายกำลังตรวจสอบร่างกฎหมายนี้อยู่

แม้กฎหมายจะผ่านในหลายรัฐแล้ว แต่ยังมีขั้นตอนที่ต้องดำเนินการหลังจากร่างกฎหมายผ่านเพื่อนำแนวปฏิบัติดังกล่าวไปใช้ได้จริง ตามที่ ยาร์โบโรกล่าว บริษัทและผู้ประกอบการยังต้องทำงานร่วมกับรัฐบาล หน่วยงานด้านสุขภาพ ตลอดจนห้องดับจิต และสุสาน เพื่อปรับกฎและระเบียบข้อบังคับให้เข้ากับการทำปุ๋ยมนุษย์

บางรัฐสามารถผ่านกระบวนการนี้ได้ภายในเวลาประมาณหนึ่งปี แต่ในแคลิฟอร์เนียจะไม่สามารถเริ่มดำเนินธุรกิจได้จนกว่าจะถึงปี 2027

ศาสนจักรไม่เห็นด้วยกับ “ปุ๋ยมนุษย์”

คริสตจักรคาทอลิกคัดค้านไม่ให้การจัดการศพด้วยการทำปุ๋ยเป็นเรื่องถูกกฎหมาย ด้วยเหตุผลที่ว่า “ขัดกับหลักคำสอนทางศาสนา” ในเดือนมีนาคม 2023 คณะกรรมการหลักคำสอนของการประชุมบิชอปคาทอลิกแห่งสหรัฐอเมริกา (USCCB) ได้ออกบันทึกสรุปการคัดค้านการปฏิบัติดังกล่าวว่า การนำร่างกายของมนุษย์ไปทำปุ๋ยถือเป็นการกระทำที่ “ไม่เคารพต่อร่างกายมนุษย์มากพอ”

“การฝังศพเป็นวิธีที่นิยมกันมานานแล้ว แต่อนุญาตให้มีการเผาศพได้ ตราบใดที่อัฐินั้นถูกวางไว้ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ให้ชาวคริสต์สามารถมาเยี่ยมเยียนเพื่อสวดมนต์และรำลึกได้”

“เช่นเดียวกับประเพณีความเชื่ออื่น ๆ คริสตจักรคาทอลิกให้ความเคารพของต่อความศักดิ์สิทธิ์ของร่างกายมนุษย์ และศักดิ์ศรีของร่างกายมนุษย์เกิดขึ้นจากศักดิ์ศรีเกิดจากความห่วงใยทั้งต่อธรรมชาติและเรื่องเหนือธรรมชาติ ดังนั้นร่างกายของผู้วายชนม์จึงจำเป็นต้องได้รับการปฏิบัติอย่างดีด้วยความเคารพและให้เกียรติ

ถึงศาสนจักรจะไม่ได้เห็นด้วยกับวิธีการดังกล่าว แต่ผู้คนจำนวนมากจากทุกสาขาอาชีพต่างปรารถนาให้ร่างของตนเองได้กลับคืนสู่ธรรมชาติ กลายเป็นปุ๋ยเพื่อทำประโยชน์ให้แก่โลกใบนี้ 

“ส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิต คือการเป็นผู้พิทักษ์โลกใบนี้ เมื่อถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ฉันหวังว่าผู้คนจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตนเองอย่างระมัดระวัง และไม่สร้างผลกระทบที่สามารถทำลายโลกใบนี้ได้” เอมี คันนิงแฮม ผู้ก่อตั้ง Fitting Tribute Funeral Services บริการจัดงานศพในนิวยอร์ก กล่าวกับ Newsweek

คันนิงแฮมเปิดเผยว่า ชาวคริสเตียนเคร่งศาสนาหลายคนก็เป็นลูกค้าของเธอ เพราะพวกเขามีความคิดว่ามนุษย์ควรใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากกว่านี้ และการปล่อยให้ร่างกายได้ย่อยสลายไปตามธรรมชาติ ช่วยทำให้พวกเขารู้สึกว่าร่างกายของตนมีประโยชน์ต่อโลก แม้พวกเขาจะปราศจากลมหายใจแล้วก็ตาม

ถึงแม้ “ปุ๋ยจากศพ” จะเป็นจุดสิ้นสุดของชีวิตหนึ่ง แต่ก็ได้ส่งมอบโอกาสให้แก่ “ชีวิตใหม่” อีกหลายชีวิตได้เติบโตและผลิบานอยู่บนโลกใบนี้ต่อไป


ที่มา: NewsweekScience Times