กลุ่มประเทศ G7 ร่วมตกลงยุติการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินอย่างต่อเนื่อง

กลุ่มประเทศ G7 ร่วมตกลงยุติการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินอย่างต่อเนื่อง

กลุ่มประเทศ G7 ตกลงเลิกใช้ถ่านหินในปี 2578 รัฐมนตรีพลังงานจากประเทศ G7 ได้ลงนามข้อตกลงยุติการใช้โรงไฟฟ้าถ่านหินที่ยังไม่ลดจำนวนลงระหว่างปี 2573 ถึง 2578 โดยเสนอทางเลือกเพิ่มเติมให้กับประเทศที่ต้องพึ่งพาถ่านหินอย่างมาก

โดยกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ประเทศ (Group of Seven : G7)  มีสมาชิก ได้แก่ แคนาดา ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา ร่วมกับสหภาพยุโรป ซึ่งมีประเทศมหาอํานาจทางเศรษฐกิจ ในทวีปต่างๆ ทั่วโลก

หลังจากการเจรจาในเมืองตูริน แถลงการณ์จากแคนาดา ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกาให้คำมั่นที่จะ “ยุติการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินที่มีอยู่ในระบบพลังงานในช่วงครึ่งแรกของปี 2030” อย่างไรก็ตาม ประเทศต่างๆ สามารถเลือกวันที่ ที่สอดคล้องกับการจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกไว้ที่ 1.5°C เหนือระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม

กิลแบร์โต ปิเชตโต ฟราติน รัฐมนตรีกระทรวงสิ่งแวดล้อมและความมั่นคงพลังงานของอิตาลี ซึ่งเป็นประธานการประชุม กล่าวใน Guardian ว่า "นี่เป็นครั้งแรกที่มีการกำหนดเส้นทาง และเป้าหมายเกี่ยวกับถ่านหิน ถือเป็นสัญญาณที่แข็งแกร่งมากจากประเทศอุตสาหกรรม ถือเป็นสัญญาณสำคัญต่อโลกในการลดการใช้ถ่านหิน"

คำมั่นสัญญาดังกล่าวเป็นไปตามข้อตกลงที่การประชุม COP28 โดยเกือบ 200 ประเทศในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2566 เพื่อ "เปลี่ยนจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในระบบพลังงาน"

ไฟฟ้าหมุนเวียนทั่วโลกผ่านจุดสังเกต 30%

ในปี 2023 แหล่งพลังงานหมุนเวียนคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 30% ของการใช้ไฟฟ้าทั่วโลกเป็นครั้งแรก โดยได้แรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของพลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานลม ตามรายงาน Global Electricity Review ประจำปีของ 

ตั้งแต่ปี 2000 พลังงานหมุนเวียนได้เปลี่ยนจากสัดส่วน 19% ของไฟฟ้าทั่วโลกเป็นมากกว่า 30% ซึ่งใกล้เคียงกับการมีส่วนร่วมของแสงอาทิตย์ และลมที่เพิ่มขึ้นจาก 0.2% เป็น 13.4% ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น

ซึ่งคาดว่าภาคพลังงานจะชะลอตัวลงในปี 2567 หลังจากการผลิตพลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิลถึงจุดสูงสุดในปี 2566

“การลดลงของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคพลังงานเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้” เดฟ โจนส์ ผู้อำนวยการฝ่าย Global Insights ของ Ember กล่าว “ปี 2023 น่าจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ นั่นคือ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุดในภาคพลังงาน ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์พลังงาน แต่อัตราการปล่อยก๊าซจะลดลงนั้นขึ้นอยู่กับความเร็วของการปฏิวัติพลังงานหมุนเวียนที่ดำเนินต่อไป”

ความร่วมมือระหว่างภาครัฐ และเอกชนมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเปลี่ยนแปลงด้านพลังงานที่ประสบความสำเร็จ ในอุตสาหกรรมการดำเนินการของภาคเอกชน และการแทรกแซงของภาครัฐควรได้รับการจัดลำดับความสำคัญอย่างไร เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงด้านพลังงานให้ยั่งยืนต่อไป

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์