'ลอรีอัล' ขับเคลื่อนความงามด้วยความยั่งยืน
"ลอรีอัล กรุ๊ป" ให้ความสำคัญกับประเด็นปัญหาสิ่งแวดล้อมมาตลอดหลายสิบปี และในตอนนี้ที่ภาวะโลกร้อนรุนแรงขึ้น ลอรีอัลทำงานด้านความยั่งยืนที่เข้มข้นยิ่งขึ้น ผ่านโครงการ "L’Oréal For The Future" พันธกิจที่แทรกซึมเข้าไปอยู่ในทุกนโยบายของบริษัทฯ
"ลอรีอัล กรุ๊ป" บริษัทความงามสัญชาติฝรั่งเศส สร้างสรรค์ความงดงามที่ขับเคลื่อนโลก ด้วยเป้าหมายที่ต้องการมอบความงามที่ดีที่สุดให้กับทุกคนทั่วโลก ทั้งในด้านคุณภาพ ประสิทธิภาพ ความปลอดภัย ความโปร่งใส และความรับผิดชอบ เพื่อตอบสนองความต้องการและความปรารถนาด้านความงามที่หลากหลายไม่มีสิ้นสุด โดยตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา ลอรีอัลพยายามลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมาโดยตลอด และเพื่อให้แน่ใจกิจกรรมต่างๆ ของลอรีอัลจะยังอยู่ในขีดจำกัดความปลอดภัยของโลก (Planetary Boundaries) บริษัทฯ จึงตั้งเป้าหมายโดยอิงหลักวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมเป็นหลัก
ในฐานะบริษัทอุตสาหกรรม ลอรีอัล ตระหนักถึงความจำเป็นในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่ปี 2005 เป็นต้นมา "ลอรีอัล กรุ๊ป" ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากโรงงาน และศูนย์กระจายสินค้าของบริษัทฯ ได้ถึง 81% ซึ่งทำได้มากกว่าเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ที่ 60% ภายในปี 2020 แม้จะปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้นถึง 29% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกัน ด้วยความจริงจังในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม จึงทำให้ลอรีอัลเป็นบริษัทเดียวในโลกที่ได้รับคะแนนระดับ "A" ในการจัดอันดับทั้งสามด้านของ CDP ได้แก่ การต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ การจัดการน้ำอย่างยั่งยืน และการอนุรักษ์ป่าไม้ เป็นเวลา 8 ปีติดต่อกัน
ภาวะโลกร้อน ได้กลายมาเป็นภัยคุกคาม ซึ่งนำไปสู่ความเสื่อมสลายถาวรของแหล่งที่อยู่ของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตบนโลก การเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำทะเล ธารน้ำแข็งที่กำลังละลาย อุณหภูมิของน้ำทะเลที่สูงและมีภาวะเป็นกรดมากขึ้น รวมไปถึงสภาพอากาศที่แปรปรวน ต่างทวีความรุนแรง ด้วยสถานการณ์ที่รุนแรงมากขึ้น ทำให้ลอรีอัลตัดสินใจเร่งเครื่องเพื่อผลักตัวเองให้ไปได้ไกลกว่าเดิมผ่านโครงการ "L’Oréal For The Future" พันธกิจของลอรีอัลด้านความยั่งยืน สำหรับปี 2030 คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่แสดงให้เห็นว่า วิสัยทัศน์ เป้าหมาย และความรับผิดชอบขององค์กรควรเป็นเช่นไร ในการต่อสู้กับความท้าทายที่โลกกำลังเผชิญ โดยพันธกิจนี้ได้แทรกซึมเข้าไปอยู่ในทุกนโยบายของลอรีอัล
นโยบายด้านบรรจุภัณฑ์พลาสติก
ลอรีอัล ออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ปี 2007 พร้อมทบทวนผลิตภัณฑ์การใช้งานผลิตภัณฑ์ใหม่แบบองค์รวม ตั้งแต่กระบวนการออกแบบสินค้าไปจนถึงการรีไซเคิลบรรจุภัณฑ์หลังการใช้งาน โดยใช้เวลาเกือบ 15 ปี เพื่อทำให้ คาร์บอนฟุตพริ้นท์ ที่เกิดจากบรรจุภัณฑ์ลดน้อยลง ภายใต้โครงการ L’Oréal for the Future
"ลอรีอัล" วางกรอบเป้าหมายการลดการใช้ทรัพยากรผ่านนวัตกรรมการออกแบบ เพื่อลดความหนาแน่นของบรรจุภัณฑ์ในหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการปรับให้บรรจุภัณฑ์มีน้ำหนักเบาลง ใช้วัสดุรีไซเคิลมากยิ่งขึ้น คิดค้นบรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำ เพื่อลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว อาทิ ขวดน้ำหอมที่เติมใหม่ได้ เพิ่มการใช้งานแบบรีฟิลสำหรับผลิตภัณฑ์ประเภทครีมบำรุงผิวที่ยังคงดีไซน์ที่สะท้อนตัวตนของแบรนด์ และออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำไปรีไซเคิลได้ รวมถึงคิดค้นบรรจุภัณฑ์แบบใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าเดิม เช่น บรรจุภัณฑ์กล่องกระดาษสำหรับแชมพูก้อน
นับตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา โปรดักต์หลายตัวจากแบรนด์ต่างๆ ภายใต้ลอรีอัล เริ่มมีการใช้บรรจุภัณฑ์ที่ผลิตจากพลาสติกรีไซเคิล 100% และสามารถนำไปรีไซเคิลได้ 100% อาทิ ขวดแชมพู Elsève จากลอรีอัล ปารีส ขวดไมเซล่าวอเตอร์ จากการ์นิเย่ ขวดคาเลนดูล่าโทนเนอร์ จากคีลส์ รวมถึงหลอดบรรจุ Pure Shots Light Up Serum ของ YSL ทั้ง 4 สูตรสามารถนำมาบรรจุในขวดใสเดียวกันได้ เพื่อลดผลกระทบของผลิตภัณฑ์ต่อสิ่งแวดล้อม การออกแบบที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมนี้ยังสามารถช่วยประหยัดทรัพยากร เมื่อเทียบกับการผลิตขวดที่ไม่สามารถเติมได้ จากการใช้ภาชนะบรรจุ 1 ชิ้น กับรีฟิล 3 ส่วน แทนการใช้ 4 ขวด ทำให้น้ำหนักรวมของบรรจุภัณฑ์ลดลงถึง 52%
ลอรีอัลมีการปรับปรุงบรรจุภัณฑ์อยู่เรื่อยมา 97% ของผลิตภัณฑ์ที่คิดค้นหรือปรับปรุงใหม่ในปี 2022 มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ขณะที่เกือบ 100% ของกระดาษที่ใช้สำหรับในผลิตภัณฑ์และกระดาษที่ใช้สำหรับกล่องบรรจุผลิตภัณฑ์ ได้รับการรับรองว่ามาจากป่าไม้ที่มีการจัดการอย่างยั่งยืน อีกทั้งยังได้สร้างเครื่องมือที่เรียกว่า Sustainable Product Optimization Tool หรือ SPOT ขึ้นเพื่อใช้วัดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมที่เกิดจากผลิตภัณฑ์ โดยได้ใช้ SPOT ในการออกแบบผลิตภัณฑ์ กระบวนการเปิดผลิตภัณฑ์ใหม่ตั้งแต่ปี 2022 โดยได้นำประเด็น "ความยั่งยืน" เข้ามาเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ต้องคำนึงถึงระหว่างการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ของลอรีอัลตั้งแต่แรกเริ่ม ในปี 2023 ลอรีอัลพัฒนาไปอีกขั้น โดย 26% ของพลาสติกที่ใช้ในบรรจุภัณฑ์มาจากการรีไซเคิลหรือจากแหล่งวัตถุดิบชีวภาพ และบรรจุภัณฑ์พลาสติก PET 85% ที่ลอรีอัลใช้ทั่วโลกมาจากการรีไซเคิล และพร้อมเดินหน้าต่อไปยังเป้าหมายต่อไป ภายในปี 2025 บรรจุภัณฑ์ใดๆ ทั้ง 100% จะต้องสามารถใช้ในการเติมซ้ำ นำกลับมาใช้ใหม่ นำไปรีไซเคิล หรือย่อยสลายได้ และภายในปี 2030 ลอรีอัลตั้งเป้าลดปริมาณความหนาแน่นของบรรจุภัณฑ์ลง 20% เมื่อเทียบกับปี 2019
นโยบายด้านการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปี ลอรีอัลลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากกระบวนการในอุตสาหกรรมลง ด้วยการพัฒนาประสิทธิภาพการใช้พลังงานในอาคารสถานที่ เช่น อาคาร เครื่องมือและอุปกรณ์ และอื่นๆ ให้ดียิ่งขึ้น พร้อมเพิ่มการใช้และ พลังงานหมุนเวียน ในแต่ละโรงงาน ทั้งจากการใช้แผงโซลาร์เซลล์ พลังงานชีวมวล และก๊าซชีวภาพ ซึ่งในปี 2023 ลอรีอัลมีอาคารที่ใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ถึง 131 แห่ง ซึ่งคิดเป็น 79% ของโรงงานลอรีอัลทั่วโลก และภายในปี 2025 ทุกไซต์งานจะต้องใช้พลังงานหมุนเวียน 100%
ในปี 2017 ลอรีอัลเป็นหนึ่งในร้อยบริษัทแรก ที่กำหนดเป้าหมายการ ลดก๊าซเรือนกระจก ด้วยการกำหนดเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกที่สอดคล้องกับเป้าหมายของข้อตกลงปารีส (Science-Based Targets) ซึ่งเป็นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้สอดคล้องกับเกณฑ์การควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับยุคก่อนอุตสาหกรรม ภายในปี 2030 ลอรีอัลตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการขนส่งผลิตภัณฑ์ต่อชิ้นลง 50% เมื่อเทียบกับปี 2016 เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ บริษัทฯ จึงได้กำหนดตัวเลขเป้าหมายสำหรับทุกกิจกรรมเพื่อให้ครอบคลุมทุกส่วน ไม่ใช่เฉพาะส่วนการผลิตและกระจายสินค้า แต่เริ่มตั้งแต่กระบวนการจัดหาวัตถุดิบ ไปจนถึงผลกระทบทางอ้อมจากการใช้ผลิตภัณฑ์ของผู้บริโภค
นโยบายด้านการปราศจากการทดลองจากสัตว์
ลอรีอัล กรุ๊ป ให้ความสำคัญกับสวัสดิภาพของสัตว์ ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของลอรีอัลไม่ทำการทดสอบความปลอดภัยกับสัตว์ มาตั้งแต่ปี 1989 นับเป็น 14 ปีก่อนที่สหภาพยุโรปจะออกข้อบังคับทางกฎหมายห้ามไม่ให้ทำการทดลองกับสัตว์ และ ณ วันนี้ผ่านมามากกว่า 40 ปีแล้ว ที่ลอรีอัลใช้โครงสร้างผิวหนังจำลองเสมือนจริงในการประเมินปฏิกิริยาของส่วนผสม และผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางบนผิวหนังของมนุษย์ ปัจจุบันบริษัทฯ ผลิตโครงสร้างผิวหนังจำลองเสมือนจริงหลากหลายประเภท ในห้องปฏิบัติการ Episkin ทั้งในฝรั่งเศส จีน และบราซิล พร้อมทั้งเผยแพร่วิทยาการนี้ให้กับภาครัฐ องค์กรและบริษัทอื่นๆ ให้สามารถทดสอบผลิตภัณฑ์ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องทดสอบกับสัตว์ ทั้งนี้ นอกจากแบบจำลองโครงสร้างผิวหนังจำลองเสมือนจริงแล้ว ลอรีอัลยังมีเครื่องมือประเมินประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์แบบอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับสัตว์อีกเป็นจำนวนมาก เช่น การจำลองโมเลกุล ระบบผู้เชี่ยวชาญทางพิษวิทยา เทคนิคการสร้างภาพ และการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในห้องปฏิบัติการ
นโยบายด้านการเคารพความหลากหลายทางชีวภาพ
ลอรีอัลยังพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ใส่ใจสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์ให้สามารถย่อยสลายทางชีวภาพ ลดปริมาณการใช้น้ำ และยังคงพยายามมากยิ่งขึ้นต่อไป ปัจจุบัน 93% ของส่วนผสมที่มาจากธรรมชาติสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ว่ามาจากแหล่งที่ยั่งยืน และไม่เกี่ยวข้องกับการตัดไม้ทำลายป่า และจะเพิ่มให้ถึง 100% ภายในปี 2030 รวมถึงจะลดการครอบครองที่ดินที่จำเป็นสำหรับกิจกรรมของลอรีอัลทั้งหมดให้เหลือน้อยที่สุด แม้ว่าการลดผลกระทบในห่วงโซ่คุณค่าก็ตาม เพราะต้องการก้าวไปให้ไกลกว่าเดิม และมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมที่เร่งด่วนที่สุด รวมถึงความจำเป็นในการฟื้นฟูระบบนิเวศที่เสียหายด้วย ตั้งเป้าว่าโรงงานอุตสาหกรรม และอาคารสถานประกอบการทั้งหมด จะสร้างผลกระทบในเชิงบวกต่อความหลากหลายทางชีวภาพอีกด้วย
นอกจากนี้ 96% ของผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือที่ปรับโฉมใหม่ของลอรีอัลยังมีคุณลักษณะที่ดีขึ้นในด้านสิ่งแวดล้อมหรือสังคม โดยน้ำมันปาล์ม สารอนุพันธ์น้ำมันปาล์ม และน้ำมันจากเนื้อในเมล็ดปาล์มที่ใช้ทั้งหมด 100% ได้รับการรับรองแล้วว่า มีความยั่งยืนสอดคล้องกับมาตรฐาน RSPO มาตั้งแต่ปี 2012 กระดาษทั้งหมด 100% ที่ใช้จัดทำแผ่นพับข้อมูลที่บรรจุในกล่องผลิตภัณฑ์ได้รับการรับรองว่ามีความยั่งยืน แม้การลดผลกระทบของลอรีอัลเป็นสิ่งที่จำเป็น แต่ก็ยังไม่เพียงพอ และความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้วนั้นจำเป็นต้องได้รับการซ่อมแซมและฟื้นฟูระบบนิเวศทางธรรมชาติ ลอรีอัลจึงได้ตั้งกองทุน L'Oréal Fund for Nature Regeneration เพื่อที่จะเริ่มฟื้นฟูระบบนิเวศอย่างเร่งด่วนและยุติการตัดไม้ทำลายป่า