AI ลด Food Loss ในอุตสาหกรรมอาหาร และเครื่องดื่มได้อย่างยั่งยืน
ข้อมูลจาก Krungthai COMPASS ระบุว่า AI ช่วยยกระดับการผลิตอุตสาหกรรมอาหาร และเครื่องดื่มของไทยมีประสิทธิภาพมากขึ้น หากผู้ประกอบการของไทยมีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI ทั้งอุตสาหกรรมจะช่วยลด Food Loss กว่า 200,000 ล้านบาทต่อปี
คาดการลงทุนเทคโนโลยี AI ในแต่ละประเภทจะทำให้มี ROI อยู่ที่ราว 20-30% โดยมีระยะเวลาคืนทุนภายใน 5 ปี แนะภาครัฐ และภาคเอกชนผสานความร่วมมือเร่งสนับสนุนการลงทุนเทคโนโลยี AI ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มมากขึ้น
ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมอาหาร และเครื่องดื่มเป็นภาคธุรกิจที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นจำนวนมาก โดยในปี 2566 อุตสาหกรรมอาหาร และเครื่องดื่มทั่วโลกมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกราว 15.3 พันล้านตัน CO2e หรือราว 26% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดของโลก โดยหนึ่งในปัญหาที่สำคัญ คือ การสูญเสียอาหาร (Food Loss) และขยะอาหาร (Food Waste) รวมกันมากถึง 1 ใน 3 ของปริมาณอาหารที่ผลิตในโลก ซึ่งก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกราว 4.5 พันล้านตัน CO2e หรือราว 6-10% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดของโลก จึงทำให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอาหาร และเครื่องดื่มต้องหาแนวทางลดการสูญเสียอาหาร เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายขององค์การสหประชาชาติในการลดการสูญเสียอาหารและขยะอาหารทั่วโลกตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทานให้เหลือเพียง 50% ภายในปี 2573
ปัจจุบันไทยเป็นประเทศผู้ส่งออกอาหารมากเป็นอันดับที่ 12 ของโลก อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงจากปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตรที่เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตอาหารและเครื่องดื่ม อีกทั้งไทยยังเผชิญปัญหาการสูญเสียอาหารตั้งแต่หลังกระบวนการเก็บเกี่ยวจนก่อนถึงมือผู้บริโภคราว 17% ของปริมาณอาหารที่ผลิต คิดเป็นมูลค่าความสูญเสียกว่า 200,000 ล้านบาทต่อปี
ทำให้ไทยจำเป็นต้องมีการลงทุนในเทคโนโลยีการผลิตสมัยใหม่อย่างเทคโนโลยี AI เพื่อยกระดับการผลิตในอุตสาหกรรมอาหาร และเครื่องดื่มของไทยให้มีความยั่งยืนมากขึ้น
สุคนธ์ทิพย์ ชัยสายัณห์ นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS กล่าวว่า การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI ในอุตสาหกรรมอาหาร และเครื่องดื่ม นอกจากจะช่วยลด Food Loss แล้ว ยังช่วยสร้างความมั่นคงทางอาหาร และลดความกังวลด้านมาตรฐานความปลอดภัยทางอาหาร (Food Safety) ที่เข้มงวดของประเทศคู่ค้า รวมถึงแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานในภาคการผลิต อีกทั้งยังช่วยให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการมีส่วนร่วมของประเทศในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตาม Nationally Determined Contribution (NDC)
เทคโนโลยี AI จะเป็น Key enabler ที่ช่วยให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหาร และเครื่องดื่มของไทยสามารถลด Food Loss และยกระดับประสิทธิภาพการผลิต เช่น การใช้เครื่องคัดแยกผัก และผลไม้ที่ขับเคลื่อนด้วย AI การใช้เครื่องตัดแต่งเนื้อสัตว์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ขั้นสูง และการใช้ระบบการบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์ โดยหากประเมินความคุ้มค่าในการลงทุน พบว่า มี Return on Investment (ROI) อยู่ที่ 25.6% 21.0% และ 29.7% ตามลำดับ โดยมีระยะเวลาคืนทุนภายใน 5 ปี
นอกจากนี้ หากผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มของไทยมีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI ทั้งอุตสาหกรรม คาดว่าจะช่วยลด Food Loss ของไทยราว 3 ล้านตันต่อปี และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของไทยราว 3.5 ล้านตัน CO2e ต่อปี”
อังคณา สิทธิการ นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS กล่าวว่า เนื่องจากเงินลงทุนในเทคโนโลยี AI ค่อนข้างสูง อีกทั้งยังขาดแคลนแรงงานที่มีความเชี่ยวชาญด้าน AI ดังนั้น การยกระดับอุตสาหกรรมอาหาร และเครื่องดื่มของไทยด้วยเทคโนโลยี AI จะประสบความสำเร็จได้ ต้องอาศัยความร่วมมือกันทั้ง Ecosystem ตั้งแต่ผู้ประกอบการ สถาบันการศึกษา สถาบันวิจัย และพัฒนาไปจนถึงหน่วยงานภาครัฐ
ผู้ประกอบการควรตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนในการลด Food Loss และคำนึงถึงความคุ้มค่าในการลงทุนเทคโนโลยี AI ควบคู่ไปกับการพัฒนาทักษะแรงงานให้มีความเชี่ยวชาญด้าน AI มากขึ้น ขณะที่หน่วยงานภาครัฐต้องมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมองค์ความรู้ และสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาด้าน AI รวมทั้งออกนโยบายส่งเสริมการลงทุนในเทคโนโลยี AI
ทั้งมาตรการทางภาษีและที่มิใช่ภาษี เช่น ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราพิเศษ สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ซึ่งอาจมีข้อจำกัดด้านเงินทุน รวมถึงการจัดให้มีสนามทดลอง (Sandbox) ของการทดลองใช้งานเทคโนโลยี AI เป็นต้น เพื่อกระตุ้นให้มีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI ในอุตสาหกรรมอาหาร และเครื่องดื่มมากขึ้นเพื่อการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน และมุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนในอนาคต
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์