ขับเคลื่อน ‘โลจิสติกส์’ สีเขียว เปลี่ยนผ่านพลังงานยั่งยืน
"โลจิสติกส์" กับการปล่อยคาร์บอน 20% ของโลก สู่ท้าทายในการลดคาร์บอนเพื่อความยั่งยืนในระบบโลจิสติกส์ทั้งในปัจจุบันและอนาคต สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) ฉลอง 60 ปี จัดสัมมนา “60 Years OF EXCELLENCE” ภายใต้แนวคิด Creating Great Leaders, Designing the Future
โทมัส ลูดี หุ้นส่วนอาวุโสหุ้นส่วนเชิงกลยุทธ์ Bain Southeast Asia กล่าวในกล่าวในหัวข้อ Boundless Growth with Green Supply Chain ว่า ความท้าทายในการลดการปล่อยคาร์บอนในระบบโลจิสติกส์ของห่วงโซ่อุปทานมีประเด็นสำคัญ ได้แก่
ความจำเป็นในการใช้ไฟฟ้าในยานพาหนะ ขนส่ง โดยระบบขนส่งคิดเป็น 20% ของการปล่อยคาร์บอน ทั่วโลก ภายในปี 2573 เชื้อเพลิงในการขนส่ง 10% จะต้องปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์
รวมถึงกฎระเบียบของรัฐบาลและความร่วมมือของอุตสาหกรรมมีความสำคัญ ตัวอย่างในประเทศจีนเป็นผู้นำ ในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน บริษัทต่างๆ เช่น Nestle, Coca-Cola และ Tesco ได้ลดการปล่อยคาร์บอนผ่านการปรับ โครงสร้างเครือข่าย สิ่งอำนวยความสะดวกที่มี ประสิทธิภาพด้านพลังงาน และการเปลี่ยนแปลงการขนส่งแบบผสมผสาน
สำหรับกลยุทธ์ด้านโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิผลนั้น ต้องมีข้อมูลแบบเรียลไทม์ในการตรวจวันคาร์บอน รวมถึงความร่วมมือองค์กรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความยั่งยืน ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะ เป็นประโยชน์ต่อทั้งสิ่งแวดล้อมและการดำเนินธุรกิจ
การลดปริมาณคาร์บอนในระบบโลจิสติกส์และห่วงโซ่อุปทาน
การลดคาร์บอนในระบบโลจิสติกส์และห่วงโซ่อุปทาน โดยเน้นย้ำถึงประโยชน์ทางการเงินจากการลด การปล่อยคาร์บอน รวมถึงมีการสำรวจองค์กรต่างๆ ทั่วโลกจากหลากหลาย ภาคส่วนเพื่อทำความเข้าใจถึงความท้าทายและปัจจัย สนับสนุนในการดำเนินการลดคาร์บอน
และให้ความสำคัญของการ บรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซในปี 2573 และ 2593 โดยระบุว่าการขนส่งมีส่วนทำให้เกิดการปล่อยก๊าซ ประมาณ 20% ทั่วโลก
รวมถึงการใช้ไฟฟ้ากับยานพาหนะ ต่างๆ และเพิ่มโครงสร้างพื้นฐานด้านการชาร์จสาธารณะ ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์สำคัญในการลดการ ปล่อยมลพิษ
ความท้าทายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคโลจิสติกส์
ความท้าทายในการบรรลุเป้าหมาย การลดการปล่อยมลพิษ รวมถึงความจำเป็นในการใช้ ไฟฟ้าอย่างมาก และการมีเชื้อเพลิงการบินที่ ยั่งยืน และเน้นย้ำถึงความสำคัญของการลงทุนของรัฐบาล เช่นในประเทศจีน เพื่อขยายขนาดการใช้ไฟฟ้า
ทั้งนี้ภาคขนส่งจะต้องลดการปล่อยก๊าซ เชื้อเพลิงลง 10 % ภายในปี 2593 เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย การปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์
ซึ่งการขนส่งและการจัดส่งเป็น อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดในการลด คาร์บอน รองลงมาคือ พลังงาน ไฮโดรเจน เหล็ก คอนกรีต และซีเมนต์
นอกจากนี้ยังมีกฎระเบียบของรัฐบาลและความร่วมมือของ อุตสาหกรรม ที่สำคัญที่จะช่วย บรรลุเป้าหมายโลจิสติกส์สีเขียวประกอบด้วย
1.กฎระเบียบของรัฐบาลเป็นแรงผลักดัน ที่สำคัญที่สุดในการลดคาร์บอน แม้ จะคำนึงถึงความต้องการของผู้บริโภคและแนวทางปฏิบัติ ที่ดีที่สุดก็ตาม
2.สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและการมุ่งเน้นที่ผลกำไร ทำให้อัตราการลดคาร์บอนลดลงช้า ลง แต่คาดว่ากฎระเบียบต่างๆ ยังคงมีความสำคัญ
3.การบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานที่มีประสิทธิภาพและการเปลี่ยนไปใช้ยานพาหนะที่ใช้ไฟฟ้าถือเป็น ปัจจัยสำคัญในการบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อย มลพิษ
4.ให้ความสำคัญของความ ร่วมมือและหุ้นส่วนในอุตสาหกรรมตลอดห่วงโซ่คุณค่า เพื่อขับเคลื่อนความสามารถในการทำกำไรเชิงพาณิชย์ และความเป็นไปได้ทางเทคนิคของโซลูชันใหม่ๆ
โดยสรุปแล้วแนวโน้มของโลจิสติกส์ ในอนาคตให้ความสำคัญของกฎระเบียบของรัฐบาล ความร่วมมือของ อุตสาหกรรม และการจัดการห่วงโซ่อุปทาน ที่มีประสิทธิภาพในการบรรลุเป้าหมายการลด คาร์บอน รวมถึงบทบาทของเครื่องมือดิจิทัล ข้อมูลเรียลไทม์ และอัลกอริทึม ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการเพิ่มประสิทธิภาพเครือข่ายโลจิสติกส์
รวมถึงความสำคัญของความร่วมมือและการสร้างแพลตฟอร์มในการขับเคลื่อน ประสิทธิภาพและความยั่งยืนของโลจิสติกส์ และเรียกร้องให้บริษัทต่างๆ ดำเนินการ ต่างๆ เพื่อนำแนวทางการจัดการโลจิสติกส์แบบสีเขียว มาใช้เพื่อบรรลุเป้าหมายในการลดคาร์บอนที่ยั่งยืนในปัจจุบันและอนาคตต่อไป