โลกเผชิญวิกฤติภูมิอากาศสุดขั้ว กดดันเศรษฐกิจ เหลื่อมล้ำพุ่ง
วิกฤติอากาศเปลี่ยน โลกร้อน ดันอุณหภูมิเฉลี่ยโลกสูงขึ้น กระทบเศรษฐกิจ เวิลด์อีโคโนมิก ฟอรั่ม ชี้ความล้มเหลวบรรเทาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ คือ ภัยคุกคามสำคัญต่อ ‘เศรษฐกิจโลก’ ความเหลื่อมล้ำพุ่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) และภาวะโลกร้อน (Global Warming) ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยโลกสูงขึ้น น้ำแข็งขั้วโลกละลาย น้ำทะเลสูงขึ้น เกิดอุทกภัย และการกัดเซาะชายฝั่งบ่อยขึ้น รวมทั้งมีเหตุการณ์อากาศสุดขั้วมากขึ้น เพียงแค่ปี 2023 ปีเดียว อุณหภูมิโลกเฉลี่ยสูงสุดถึงระดับเกือบ 1.5 องศาเซลเซียส เหนือกว่าระดับก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรม ขณะที่ฤดูร้อนปี 2024 เป็นปีที่ถือว่าร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์
ทั้งนี้ ไม่เพียงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ภาวะดังกล่าวส่งผลต่อเศรษฐกิจและสังคม ภาคธุรกิจต้องเผชิญต้นทุนที่เพิ่มขึ้น และความท้าทายในการดำเนินงานอันเนื่องมาจากเหตุการณ์สภาพอากาศที่รุนแรง สังคมต้องแบกรับผลกระทบจากวิกฤติด้านสุขภาพ การอพยพ และความเสียหายของโครงสร้างพื้นฐาน
รวมถึงชุมชนที่เปราะบางต้องแบกรับภาระหนัก ซึ่งทำให้ความไม่เท่าเทียมกันที่มีอยู่เลวร้ายลง การแก้ไขปัญหาเหล่านี้ต้องอาศัยการดำเนินการร่วมกัน และวิธีแก้ปัญหาที่สร้างสรรค์เพื่อสร้างโลกที่ยืดหยุ่น และเท่าเทียมกันมากขึ้น
เศรษฐกิจโลกสูญ 1.5 ล้านล้านดอลล์
รายงาน Global Risks Report 2023 ของ World Economic Forum ระบุว่า ความล้มเหลวบรรเทาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นหนึ่งในภัยคุกคามสำคัญต่อ ‘เศรษฐกิจโลก’ โดยมูลค่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจจากเหตุการณ์อากาศสุดขั้ว และภัยพิบัติที่เกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศมีมูลค่าสูงถึงเกือบ 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ ในปี 2010-2019
ขณะที่ปี 2023-2024 เหตุการณ์อากาศสุดขั้ว เช่น พายุเฮอริเคน น้ำท่วม และไฟป่า สร้างความเสียหายให้กับ ‘ภาคธุรกิจ’ หลายพันล้านดอลลาร์ทั่วโลก เช่น อุตสาหกรรมประกันภัยเผชิญการสูญเสียรุนแรง เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของการเรียกร้องประกันจากภัยพิบัติที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ
สำหรับการค้า และการส่งออกได้รับผลกระทบ เพราะการขนส่งทางทะเล และทางอากาศถูกขัดขวางจากพายุ และสภาพอากาศที่ไม่แน่นอน ทำให้การส่งออกสินค้าเกิดความล่าช้า และค่าใช้จ่ายในการขนส่งเพิ่มขึ้น
ภาคธุรกิจการเกษตรเป็นหนึ่งในภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ผลผลิตการเกษตรลดลงรุนแรง เพราะภัยแล้ง น้ำท่วม และอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลง ความเสียหายที่เกิดขึ้นทำให้ราคาสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิต และผู้บริโภคทั่วโลก
ขณะที่ภาคการท่องเที่ยว มีนักท่องเที่ยวหลีกเลี่ยงไปเยี่ยมชมบางสถานที่ เพราะสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งที่มีชื่อเสียงต้องเผชิญปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการกัดเซาะชายฝั่ง การปะทุของภูเขาไฟ และภัยธรรมชาติอื่น
ขาดแคลน ‘น้ำ’ ปัญหาใหญ่ทั่วโลก
นอกจากนั้น การขาดแคลนน้ำกลายเป็นปัญหาใหญ่ทั่วโลก ประเทศต่างๆ ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงในการลงทุนในโครงการที่เกี่ยวข้องกับการจัดการน้ำ และการพัฒนาทรัพยากรน้ำ รวมถึงโรคที่เกี่ยวข้องกับความร้อน และโรคติดต่อที่เกิดจากยุง และแมลงอื่นๆ เริ่มแพร่ระบาดหลายพื้นที่ ทำให้ระบบสาธารณสุขต้องใช้เงินเพิ่มเติมในการป้องกันและรักษาโรค
ทั้งนี้ จากการศึกษาของธนาคารกลางยุโรป (European Central Bank) เกี่ยวกับผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาคธุรกิจ จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ระบุว่า การสูญเสียทางเศรษฐกิจจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะมีมูลค่าสูงถึง 2,328 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ระหว่างปี 2025 ถึง 2100
ปัญหาภูมิอากาศสร้างความเสียหาย 6 ด้าน
World Economic Forum ได้สรุปมูลค่าความเสียหายทั่วโลกเมื่อปลายปี 2024 แบ่งเป็น 6 ส่วน ดังนี้
1. การเกษตร เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลต่อผลผลิตการเกษตร ทำให้สูญเสียประมาณ 10-25% ขึ้นอยู่กับภูมิภาค และชนิดของพืช
2. การประมง เกิดการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ และความเป็นกรดของมหาสมุทรอาจทำให้ปริมาณปลาลดลง 5-30%
3. การป่าไม้ เกิดไฟป่า และการแพร่ระบาดของแมลงสามารถทำให้ผลิตภาพของป่าลดลง 5-20%
4. โครงสร้างพื้นฐาน มีเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วสามารถทำให้เกิดค่าเสียหายต่อปีประมาณ 1.7 ล้านล้านดอลลาร์ถึง 3.1 ล้านล้านดอลลาร์ ภายในปี 2050
5. การดูแลสุขภาพ มีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยมีความสูญเสียทางเศรษฐกิจประมาณ 2.8 ล้านล้านดอลลาร์ ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา
6. การท่องเที่ยว เกิดการกัดเซาะชายฝั่ง และสภาพอากาศสุดขั้วอาจทำให้รายได้จากการท่องเที่ยวลดลง 5-15%
นอกจากนั้น องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ประมาณการว่า ชั่วโมงการทำงานทั้งหมดทั่วโลกอาจสูญเสียไปถึง 3.8% เพราะอุณหภูมิสูงที่เกิดจากสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเทียบเท่างานเต็มเวลา 136 ล้านตำแหน่ง และความสูญเสียทางเศรษฐกิจ 2,400 พันล้านดอลลาร์
ความเหลื่อมล้ำขยายตัวเพิ่มมากขึ้น
ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อสังคมนั้นรุนแรงมาก ชุมชนที่เปราะบางมักได้รับผลกระทบหนักที่สุด โดยต้องเผชิญกับการอพยพ ความไม่มั่นคงทางอาหาร และความเสี่ยงด้านสุขภาพ
รายงานของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) ปี 2023 ระบุว่า กลุ่มคนที่ถูกละเลยต้องแบกรับผลกระทบหนักที่สุด จากการสูญเสียแหล่งทำกิน บ้านเรือน และโครงสร้างพื้นฐาน และภัยพิบัติที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศทำให้เกิดความยากจนและความไม่สงบทางสังคมเพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ ทำให้รัฐบาล และหลายองค์กรกำลังดิ้นรนเพื่อจัดหาการสนับสนุน และทรัพยากรที่เหมาะสมให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบ ส่งผลให้เกิดช่องว่างระหว่างคนรวย และคนจนที่เพิ่มมากขึ้น
ส่วนการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นตัวสร้างความไม่สมดุลในทางที่เลวร้ายที่สุด ทำให้ความเหลื่อมล้ำที่มีอยู่ทวีความรุนแรงขึ้น และสร้างความเหลื่อมล้ำใหม่ ประเทศที่ร่ำรวย และบุคคลที่มีทรัพยากรปรับตัว และบรรเทาผลกระทบการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้
เอเชียใต้ และแอฟริกาคาดว่าจะได้รับความเสียหายทางเศรษฐกิจรุนแรงที่สุดเนื่องจากความเปราะบางที่สูงขึ้น และความสามารถในการปรับตัวที่ต่ำกว่า ชุมชนที่ยากจนต้องดิ้นรนเอาตัวรอดด้วยตัวเอง
ในทางตรงกันข้าม ภูมิภาคที่พัฒนาแล้วเช่น อเมริกาเหนือ และยุโรปจะเผชิญกับการสูญเสียที่สำคัญเช่นกัน แต่มีทรัพยากรมากขึ้นในการบรรเทา และปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ความแตกต่างในผลกระทบ และการตอบสนองนี้ยิ่งทำให้ช่องว่างระหว่างคนจน และคนรวยกว้างขึ้น ทำให้ยากต่อการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน แรงกดดันภาคธุรกิจต้องปฏิบัติยั่งยืน
“มาร์ค คาร์นีย์” ผู้แทนพิเศษของสหประชาชาติด้านการดำเนินการทางสภาพภูมิอากาศ และการเงิน เน้นถึงความสำคัญทางการเงินภาคเอกชนในการบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ และชี้ให้เห็นถึงโอกาสทางการค้าที่มาพร้อมกับการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศ และยังย้ำถึงความจำเป็นที่คนทั่วโลกต้องรักษาความกดดันในการเรียกร้องให้ดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ
“นวัตกรรมเป็นโซลูชันสำคัญในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น เกษตรกรรมฟื้นฟู ที่ช่วยฟื้นฟูสุขภาพของดิน และจับคาร์บอน และพลาสติกจากสาหร่ายที่เป็นทางเลือกที่ย่อยสลายได้แทนพลาสติกทั่วไป นอกจากนั้นบทบาทของภาคเอกชนในการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศก็มีความสำคัญ โดยต้องเปลี่ยนไปสู่การปฏิบัติที่ยั่งยืนเพื่อลดความเสี่ยง และสร้างโอกาส การเปลี่ยนแปลงนี้สำหรับภาคธุรกิจไม่เพียงแค่เป็นข้อบังคับทางศีลธรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสทางธุรกิจที่มีความมูลค่าด้วย”
น้ำท่วมในไทยฉุดจีดีพีลดลง
การศึกษาของ Swiss Re Institute คาดการณ์ว่า จีดีพี ของประเทศไทยอาจลดลงถึง 43.6% ภายในปี 2048 เนื่องจากอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นถึง 3.2 องศาเซลเซียส ผลกระทบทางเศรษฐกิจนี้เน้นย้ำถึงความเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้เหตุการณ์อากาศสุดขั้ว เช่น ฝนตกหนัก และพายุ เกิดบ่อยขึ้น และรุนแรงขึ้น ทำให้เกิดน้ำท่วมใหญ่
ทั้งนี้ น้ำท่วมรุนแรงในประเทศไทยปี 2024 ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อภาคธุรกิจ ประเมินความเสียหายที่ 242,000 ล้านบาท โดยจังหวัดที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด ได้แก่ เชียงราย พะเยา สุโขทัย หนองคาย และนครพนม หอการค้าไทยได้ชี้ให้เห็นว่าความท้าทายสำคัญสำหรับธุรกิจในการฟื้นตัวจากภัยพิบัติคือ การขาดกระแสเงินสด และทรัพย์สินถาวรที่เสียหาย
ขณะที่กรมป้องกัน และบรรเทาสาธารณภัยรายงานว่าน้ำท่วมที่เกิดจากฝนตกหนักในฤดูนี้กระทบ 82,087 ครัวเรือน (410,435 คน) มีผู้เสียชีวิต 24 คน และบาดเจ็บ 19 คน
น้ำท่วมสร้างความเสียหายอย่างมากต่อโครงสร้างพื้นฐาน การเกษตร และเศรษฐกิจท้องถิ่น การเกษตรซึ่งเป็นเสาหลักของเศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดยมีความเสียหายต่อทุ่งนาข้าว และพืชผลอื่นจำนวนมาก ชาวนา และเกษตรกรหลายคนต้องเผชิญการขาดทุนทางการเงินเมื่อมวลน้ำท่วมทำลายแหล่งทำมาหากิน
สำหรับความพยายามจัดการน้ำท่วมยังดำเนินต่อ เจ้าหน้าที่สูบน้ำออกจากพื้นที่อยู่อาศัย และเคลียร์สิ่งกีดขวางจากแหล่งน้ำ สถานการณ์ยังคงวิกฤติ และความพยายามช่วยเหลือต่อเนื่องเป็นสิ่งสำคัญเพื่อสนับสนุนชุมชนที่ได้รับผลกระทบ
ส่วนผลกระทบทางเศรษฐกิจของวิกฤติสภาพภูมิอากาศยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอนาคต หากไม่ดำเนินการที่เหมาะสมในการจัดการ และแก้ไขปัญหานี้ โลกต้องเผชิญความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ต่อเศรษฐกิจ และชีวิตความเป็นอยู่ประชาชน
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์