บทเรียนจากบริติชโคลัมเบีย น้ำท่วมฟาร์มสัตว์ จนต้องปรับแผนรับมืออุทกภัย

บทเรียนจากบริติชโคลัมเบีย น้ำท่วมฟาร์มสัตว์ จนต้องปรับแผนรับมืออุทกภัย

เหตุการณ์เลวร้าย เช่น น้ำท่วม ไฟป่า ในพื้นที่เกษตรกรรม มีแนวโน้มว่าจะเกิดบ่อยครั้งขึ้นเมื่อโลกร้อนขึ้นและสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ส่องบทเรียนน้ำท่วมและโคลนถล่มครั้งใหญ่รัฐบริติชโคลัมเบีย ประเทศแคนาดา สัตว์ในฟาร์มหลายพันตัวจมน้ำตาย จนต้องปรับแผนรับมือภัยพิบัติ

ย้อนไปเมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายน ปี 2021 สายธารขนาดมหึมาบนท้องฟ้า หรือที่แวดวงวิทยาศาสตร์เรียกว่า "แม่น้ำในชั้นบรรยากาศ" (Atmospheric River) พัดพาพายุฝนไปที่เมืองเมอร์ริตต์ แอบบอตส์ฟอร์ด รัฐบริติชโคลัมเบีย ประเทศแคนาดา ส่งผลให้ฝนตกหนักเป็นประวัติการณ์ ทำให้เกิดน้ำท่วม และโคลนถล่มอย่างรุนแรง จนรัฐบาลประกาศภาวะฉุกเฉินและสั่งให้อพยพผู้คนออกจากเมือง

น้ำท่วมครั้งนั้น ทำให้ทุ่งหญ้าซูมาสซึ่งตั้งอยู่ในหุบเขาเฟรเซอร์ทางตะวันออกของแอบบอตสฟอร์ด ที่เป็นศูนย์กลางด้านการเกษตร เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของไก่และวัวส่วนใหญ่ของรัฐ รวมถึงฟาร์มหมูและมิงค์ ถูกน้ำท่วมสูง มีโรงนาจมน้ำ วัวลุยน้ำท่วม

เมื่อระดับน้ำท่วมสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้นกหลายพันตัวตายจากการขาดอากาศหายใจ วัวอย่างน้อย 500 ตัว และหมูหลายพันตัวจมน้ำตาย เกษตรกรเผชิญกับภารกิจเร่งด่วนในการเคลื่อนย้ายสัตว์ไปยังพื้นที่สูง ในครั้งนั้นเกษตรกรสามารถอพยพสัตว์ได้สำเร็จมากกว่า 2,000 ตัว

พลังแห่งความร่วมมือ

เกษตรกรและคนงานในหุบเขาฟรเซอร์ได้ดำเนินการหลายขั้นตอนที่สำคัญเพื่ออพยพสัตว์ของพวกเขาไปยังที่ปลอดภัย โดยใช้ทั้งรถบรรทุก และรถพ่วง ในการขนส่งสัตว์ไปยังที่สูงกว่า นอกจากนั้น กองทัพแคนาดาได้เข้ามาช่วยเคลื่อนย้ายโดยเฮลิคอปเตอร์ รวมถึงชุมชนท้องถิ่น องค์กรไม่แสวงหากำไร และหน่วยงานของรัฐ ที่ระดมกำลังเพื่อช่วยชีวิตสัตว์อย่างรวดเร็ว

เกษตรกรหลายคนทำงานตลอดทั้งคืนเพื่อให้แน่ใจว่าสัตว์เลี้ยงของพวกเขาถูกย้ายอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ บางครั้งก็มีการประสานงานกับฟาร์มใกล้เคียงเพื่อให้มีทรัพยากรเพิ่มเติม มีการตั้งที่พักชั่วคราวในสถานที่ที่ปลอดภัยเพื่อปกป้องสัตว์จากสภาพอากาศ

เรื่องราวของเกษตรกรที่เมืองนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงพลังของความร่วมมือและความยืดหยุ่นในการเอาชนะความทุกข์ยาก บทเรียนจากความเสียหายครั้งนี้มีค่าอย่างยิ่งในการปรับปรุงกลยุทธ์การตอบสนองต่อภัยพิบัติในอนาคต เพื่อให้แน่ใจว่าชีวิตของมนุษย์และสัตว์ได้รับการปกป้อง อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้พิจารณาว่ามีสาเหตุอื่นๆ ที่ทำให้สัตว์ต้องตายจากภัยพิบัตินี้ โดยเฉพาะระบบการทำฟาร์มแบบขังกรง

คู่มือเนื้อวัวของรัฐบริติชโคลัมเบียระบุว่า "โดยปกติแล้ว สัตว์ที่ไม่ได้ถูกขังไว้สามารถดูแลตัวเองได้ในระหว่างที่เกิดน้ำท่วม" จากบันทึกของเหตุการณ์ทุ่งหญ้าซูมาส แสดงให้เห็นว่าสัตว์ที่อยู่ข้างนอกและเดินเตร่ไปมาอย่างอิสระจะอยู่รอดได้ดีกว่าสัตว์ที่ถูกขังไว้ในอาคารหรือโรงนา

4 แนวทางบริติชโคลัมเบีย รับมือภัยพิบัติ

หลังจากภัยพิบัติครั้งนี้ บริติชโคลัมเบียต้องหาวิธี “build back better” ผ่าน 3 แนวทาง ดังนี้

1. มุ่งมั่นในความรับผิดชอบทางสภาพภูมิอากาศ : ให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบทางสภาพภูมิอากาศในพื้นที่ เช่น ภายใต้แผน B.C. Food Security Task Force ในปี 2020 หนึ่งในกลยุทธ์ด้านสภาพภูมิอากาศและความมั่นคงด้านอาหารที่บริติชโคลัมเบียดำเนินการคือ การสนับสนุนและเงินทุนที่เหมาะสมกับศักยภาพในการลดภัยคุกคามจากสภาพภูมิอากาศ สิ่งแวดล้อม และภัยพิบัติทางการเกษตร

2. ให้ความสำคัญกับการปรึกษาและพิจารณากับ Animal Justice : ปฏิบัติตามข้อเรียกร้องในการจำกัดจำนวนสัตว์ในฟาร์ม และทำแผนการช่วยเหลือสัตว์ให้เป็นข้อบังคับทางกฎหมาย แทนที่จะเป็นเพียงการส่งเสริมแนวทางปฏิบัติที่ไม่ชัดเจน

3. คืนพื้นที่ให้กับชนพื้นเมือง : ที่ราบน้ำท่วม Sumas เคยเป็นทะเลสาบน้ำจืดตื้น และเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนดั้งเดิมของชนเผ่า Sumas First Nation ซึ่งเช่นเดียวกับน้ำและสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่ถูกพลัดถิ่นจากการวางแผนที่ดินในยุคอาณานิคม เมื่อทะเลสาบถูกระบายน้ำและแยกออกจากแม่น้ำใกล้เคียงในช่วงปี 1920 ถึง 1924 ดินแดนที่ไม่ได้รับการยอมรับควรจะคืนให้กับชนเผ่า Sumas First Nation เพื่อส่งเสริม "ความมุ่งมั่นในการประนีประนอม" ซึ่งคือความพยายามในการแก้ไขและปรับปรุงความอยุติธรรมและการเลือกปฏิบัติที่เกิดขึ้นต่อชาวพื้นเมือง ความมุ่งมั่นเหล่านี้รวมถึงความร่วมมือระหว่างชุมชนพื้นเมืองและชุมชนที่ไม่ใช่พื้นเมือง

4. ปรับตัว : รัฐบาล บริษัทต่างๆ และประชาชน ให้ความสำคัญกับวางแผนที่จะปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สวัสดิภาพของสัตว์ในฟาร์มจะต้องกลายมาเป็นเรื่องที่มีความสำคัญสูงสุด

ต้องไม่เพียงแค่ปรับปรุงแนวทางการจัดการภัยพิบัติเท่านั้น แต่ยังต้องส่งเสริมให้ผู้ประกอบการจัดทำแผนฉุกเฉินและแผนที่ในฟาร์ม หรือลงทุนในประกันอีกด้วย

ปัจจัยสำคัญความสำเร็จในการอพยพ

ระบบเตือนภัยล่วงหน้า : การพยากรณ์อากาศและการแจ้งเตือนที่ทันท่วงทีทำให้เกษตรกรสามารถเตรียมตัวและดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว

ความร่วมมือของชุมชน : จิตวิญญาณแห่งการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ทั้งการแบ่งปันทรัพยากรและกำลังคน

การสนับสนุนจากรัฐบาล : รัฐบาลปให้การสนับสนุนด้านโลจิสติกส์ รวมถึงเรือและที่พักพิงฉุกเฉิน เพื่ออำนวยความสะดวกในกระบวนการอพยพอย่างปลอดภัย

 

 

ที่มา : The ConversationNASA