‘พื้นที่สีเขียวในเมือง’ ลดจำนวนผู้เสียชีวิต-เจ็บป่วยจาก ‘ความร้อน’ ได้
ผลการศึกษาวิจัยพบว่า พื้นที่สีเขียวในเมืองมีบทบาทสำคัญในการลดการเสียชีวิตจากความร้อน ที่เกิดจากอุณหภูมิโลกสูงขึ้น
KEY
POINTS
- ประชาชนที่อยู่ในเขตเมืองที่มีพื้นที่สีเขียวมากกว่าจะมีอัตราการเกิดปัญหาสุขภาพและการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับความร้อนต่ำกว่า เมื่อเทียบกับภูมิภาคที่มีพื้นที่สีเขียวน้อย
- เด็ก ๆ ที่อาศัยอยู่ในละแวกที่มีต้นไม้ปกคลุมยังมีปอดที่แข็งแรงกว่า
- การเข้าถึงพื้นที่สีเขียวถือเป็นหนึ่งในปัญหาความไม่เท่าเทียมด้านสุขภาพที่ผู้คนทั่วโลกต้องเผชิญ
ในปี 2024 อุณหภูมิของวันที่ร้อนที่สุดในโลกถูกทุบสถิติเป็นว่าเล่น โดยอุณหภูมิอากาศเฉลี่ยบนพื้นผิวโลกอยู่ที่ 17.15 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นผลมาจากก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลทำให้ชั้นบรรยากาศของโลกอบอุ่นขึ้น ทำให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้น สร้างปัญหาให้แก่คนทั่วโลก
“ความร้อนในเมือง” เป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญของคนเมืองที่ไม่ได้สัมผัสกับธรรมชาติ ซึ่งการมีพื้นที่สีเขียวภายในเมืองไม่เพียงแต่ดูดีเท่านั้น แต่ยังช่วยปกป้องสุขภาพ ลดปัญหาการเสียชีวิตจากความร้อนได้อีกด้วย
การวิเคราะห์ที่ตีพิมพ์ในวารสาร BMJ Open ได้รวบรวมผลการศึกษาวิจัย 12 ฉบับเกี่ยวกับปัญหาด้านสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับความร้อนในออสเตรเลีย ฮ่องกง โปรตุเกส ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สหรัฐ และเวียดนาม พบว่าประชาชนที่อยู่ในเขตเมืองที่มีพื้นที่สีเขียวมากกว่าจะมีอัตราการเกิดปัญหาสุขภาพและการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับความร้อนต่ำกว่า เมื่อเทียบกับภูมิภาคที่มีพื้นที่สีเขียวน้อย
รายงานระบุว่า การปลูกต้นไม้ พุ่มไม้ และพืชอื่น ๆ ในเมืองยังดูเหมือนจะช่วยส่งเสริมสุขภาพจิตของผู้คน ซึ่งอาจช่วยชดเชยผลกระทบของอุณหภูมิที่สูงต่อความเป็นอยู่ที่ดีของผู้คนได้
“พื้นที่สีเขียวในเขตเมืองมีบทบาทสำคัญในการลดความเสี่ยงต่อสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับความร้อน โดยเป็นกลยุทธ์ที่มีศักยภาพสำหรับใช้ในการวางแผนเมือง เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและเสริมสร้างสุขภาพของประชาชน” นักวิจัยเขียนไว้ในวารสาร BMJ Open
อาซานา นาซิช หัวหน้าคณะวิจัยของ London School of Hygiene & Tropical Medicine ผู้จัดทำวิจัย กล่าวกับ Euronews Health ว่า “ต้นไม้ช่วยลดอุณหภูมิโดยรอบ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในช่วงที่มีคลื่นความร้อนในเขตเมือง นอกจากสุขภาพกายแล้ว การเข้าถึงพื้นที่สีเขียวยังช่วยเพิ่มความสมบูรณ์ของจิตใจ ลดผลกระทบด้านสุขภาพเชิงลบจากอุณหภูมิที่สูงได้อีกด้วย”
ความร้อนที่พุ่งสูงในเมืองอาจทำให้คนในเมืองเป็นโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวานและหอบหืดกำเริบขึ้น รวมถึงเกิดภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ เช่น โรคลมแดด และทำให้เกิดการแพร่กระจายของโรคติดเชื้อ การศึกษาที่ตีพิมพ์เมื่อต้นปีนี้พบว่าชาวยุโรปมากกว่า 47,000 คนเสียชีวิตจากสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับความร้อนในปี 2023
“พื้นที่สีเขียว” มีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพของผู้คนมากกว่าแค่การช่วยคลายความร้อนเท่านั้น เพราะพื้นที่สีเขียวในเมืองสามารถช่วยคลายความเครียด เป็นพื้นที่สำหรับออกกำลังกาย และลดการสัมผัสกับมลภาวะทางอากาศและเสียงรบกวน นอกจากนี้ การวิจัยยังพบอีกว่าเด็ก ๆ ที่อาศัยอยู่ในละแวกที่มีต้นไม้ปกคลุมยังมีปอดที่แข็งแรงกว่าอีกด้วย
มาร์ก นิวเวนฮิวเซน ผู้อำนวยการโครงการวางแผนเมือง สิ่งแวดล้อม และสุขภาพของสถาบันบาร์เซโลนาเพื่อสุขภาพโลก และหัวหน้าโครงการด้านภูมิอากาศ มลพิษทางอากาศ ธรรมชาติ และสุขภาพในเมืองได้กล่าวไว้ว่า พื้นที่สีเขียวที่ดีในเมือง จะต้องเป็นพื้นที่ที่มีต้นไม้ปกคลุม 30% โดยจะต้องสามารถมองเห็นต้นไม้ 3 ต้นจากหน้าต่างได้ และอยู่ร่วมในพื้นที่ที่มีมนุษย์สามารถเข้าไปอยู่หรือทำกิจกรรมได้ เช่น สวนสาธารณะหรือสนามเด็กเล่น ในระยะ 300 เมตรจากพื้นที่สีเขียว
งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในปี 2021 ของนิวเวนฮิวเซน ที่ทำการวิเคราะห์ความเชื่อมโยงระหว่างการขาดแคลนพื้นที่สีเขียวและการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรใน 946 เมืองทั่วทั้งยุโรป พบว่า หากเมืองเหล่านี้ทั้งหมดปฏิบัติตามคำแนะนำระหว่างประเทศเกี่ยวกับการเข้าถึงพื้นที่สีเขียว จะสามารถป้องกันการเสียชีวิตได้เกือบ 43,000 รายต่อปี โดยรายงานยังพบว่าในบรรดาเมืองหลวงทั้งหมด กรุงเอเธนส์ กรุงบรัสเซลส์ กรุงบูดาเปสต์ กรุงโคเปนเฮเกน และกรุงริกา มีผู้เสียชีวิตจากการขาดแคลนพื้นที่สีเขียวมากที่สุด
นอกจากนี้ นิวเวนฮิวเซน ยังกล่าวอีกว่า หลายเมืองต้องการให้เมืองมีสีเขียวเพิ่มมากขึ้น แต่พื้นที่สาธารณะในเมืองกลับมีน้อยมาก เต็มไปด้วยถนนและพื้นที่อยู่อาศัย
สำหรับบางพื้นที่แล้ว การเข้าถึงพื้นที่สีเขียวถือเป็นหนึ่งในปัญหาความไม่เท่าเทียมด้านสุขภาพที่ผู้คนทั่วโลกต้องเผชิญ โดยรายงานจากสำนักข่าว The Guardian เปิดเผยเมื่อต้นปี 2024 ว่าเด็ก ๆ ในโรงเรียนเอกชน 250 แห่งของอังกฤษ มีพื้นที่สีเขียวมากกว่าเด็กที่เรียนในโรงเรียนของรัฐถึง 10 เท่า
ในปี 2021 สหภาพยุโรปได้ให้คำมั่นว่าจะปลูกต้นไม้อย่างน้อย 3,000 ล้านต้นภายในปี 2030 โดยเบลเยียม สาธารณรัฐเช็ก และโปรตุเกสเป็นโต้โผของนโยบายนี้ แต่ต้นไม้ที่เพิ่งปลูกใหม่นี้คงไม่ได้อยู่รอดทั้งหมดและอาจต้องใช้เวลาหลายสิบปีกว่าจะเติบโตเต็มที่ ซึ่งหมายความว่าแม้ว่าสหภาพยุโรปจะทำตามคำมั่นสัญญา ผู้คนก็จะไม่ได้รับประโยชน์ด้านสุขภาพอย่างเต็มที่ในอีกหลายปีข้างหน้า
นาซีชกล่าวว่านโยบายเพื่อปรับปรุงการเข้าถึงพื้นที่สีเขียวสามารถส่งผลกระทบได้โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่นและมีผู้คนที่เปราะบาง เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เพราะการลงทุนเพิ่มเติมในโครงสร้างพื้นฐานสีเขียวในเมืองมีความจำเป็นต่อการปรับเมืองให้เข้ากับอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นและปรับปรุงผลลัพธ์ด้านสาธารณสุข
ที่มา: Euro News, News Medical, The Guardian