‘ภูเขาไฟฟูจิ’ ไม่มี ‘หิมะ’ ปกคลุม หิมะตกช้าสุดในรอบ 130 ปี

‘ภูเขาไฟฟูจิ’ ไม่มี ‘หิมะ’ ปกคลุม หิมะตกช้าสุดในรอบ 130 ปี

“ภูเขาไฟฟูจิ” ยังคงไร้ “หิมะ” ปกคลุม ทำให้ปี 2024 เป็นปีที่หิมะตกบนภูเขาไฟฟูจิช้าสุดเท่าที่มีการบันทึกสถิติไว้ในรอบ 130 ปี ตามข้อมูลจากสำนักงานอุตุนิยมวิทยาของญี่ปุ่น

ภูเขาไฟฟูจิ” ยังคงไร้ “หิมะ” ปกคลุม ทำให้ปี 2024 เป็นปีที่หิมะตกบนภูเขาไฟฟูจิช้าสุดเท่าที่มีการบันทึกสถิติไว้ในรอบ 130 ปี ตามข้อมูลจากสำนักงานอุตุนิยมวิทยาของญี่ปุ่น

โดยเฉลี่ยแล้ว ภูเขาไฟฟูจิเริ่มจะมีหิมะเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม ส่วนในปี 2023 มองเห็นหิมะปกคลุมบนยอดภูเขาไฟครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม แต่เนื่องจากอากาศอบอุ่นซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้ในตอนนี้ยังไม่พบหิมะตกบนภูเขาไฟฟูจิ ภูเขาที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น 

จากข้อมูลของสำนักงานอุตุนิยมวิทยาท้องถิ่นโคฟุระบุว่า จนถึงวันที่ 28 ตุลาคม แล้วก็ยังไม่มีหิมะตกมาบนภูเขาไฟฟูจิ ทำให้กลายเป็นปีที่มีหิมะตกช้าที่สุด สถิติเดิมเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม ซึ่งเคยเกิดขึ้นสองครั้งในปี 1955 และ 2016

ภูเขาไฟฟูจิไม่มีหิมะ

“อุณหภูมิสูงในช่วงฤดูร้อนปีนี้ และอุณหภูมิสูงต่อเนื่องไปจนถึงเดือนกันยายน ทำให้มีอากาศหนาวเย็นน้อยลง” ยูทากะ คัตสึตะ นักพยากรณ์อากาศจากสำนักงานอุตุนิยมวิทยาท้องถิ่นโคฟุกล่าว

คัตสึตะเห็นด้วยว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจส่งผลกระทบต่อการล่าช้าของการก่อตัวของยอดหิมะ

ฤดูร้อนญี่ปุ่นในปี 2024 ถือเป็นฤดูร้อนที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งถือว่ารุนแรงระดับเดียวกับปี 2023 เนื่องจากคลื่นความร้อนรุนแรงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแผ่ปกคลุมหลายพื้นที่ทั่วโลก

ในทุกปีนักพยากรณ์อากาศจะสังเกตการณ์เกิดหิมะปกคลุมครั้งแรกของฤดูกาล จากสำนักงานอุตุนิยมวิทยาที่อยู่ห่างจากภูเขาประมาณ 40 กิโลเมตร โดยเริ่มปฏิบัติมาเป็นธรรมเนียมตั้งแต่ปี 1894 โดยเจ้าหน้าที่กล่าวว่าสภาพอากาศที่มีเมฆมากบริเวณโดยภูเขาหรือในเมืองอาจทำให้พวกเขาสังเกตการณ์เกิดหิมะปกคลุมได้ยาก แม้ว่าหิมะจะตกแล้วก็ตาม

ปรกติแล้วภูเขาไฟฟูจิปกคลุมไปด้วยหิมะเกือบทั้งปี โดยช่วงพีคที่สุดที่มีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมภูเขาไฟแห่งนี้คือช่วงเดือนกรกฎาคม-กันยายน ซึ่งเป็นฤดูปีนเขา มีนักท่องเที่ยวมากกว่า 220,000 คน อย่างไรก็ตาม ในปีนี้มีนักปีนเขาปีนภูเขาไฟฟูจิน้อยลง เนื่องจากทางการญี่ปุ่นกำหนดค่าธรรมเนียมเข้าชมและกำหนดจำนวนคนต่อวัน เพื่อแก้ปัญหาการท่องเที่ยวมากเกินไป

 

ที่มา: AsashiJapan TimesThe Straits Times